ข่าว

'คารม'อ้างจุดยืนไม่ไป"ก้าวไกล"

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

'คารม'เผ่นหนีไลน์กลุ่ม 55 อดีตส.ส.อนค.จ่อไม่ไป'พรรคก้าวไกล' อ้างนโยบายสนใจคนอีสานน้อย ด้านฝ่ายค้านซักฟอกนอกสภากร่อย ร่ายยาวประวัติ'ไอโอ' ขณะที่ปชป.ฝ่ายหนุนขนส.ส.ประกาศจุดยืน ลั่นขอยึดมติพรรคไม่ทิ้งรัฐบาล

 

               เมื่อวันที่ 12 มีนาคม รายงานข่าวจาก ส.ส.อดีตพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) เปิดเผยว่า นายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ อดีตพรรคอนาคตใหม่ออกจากไลน์กลุ่มของ ส.ส.อดีตพรรคอนาคตใหม่ ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารการทำงานของกลุ่มไป ซึ่ง ส.ส.ที่เหลืออยู่ตั้งข้อสังเกตว่า นายคารมจะไม่ไปร่วมงานกับพรรคก้าวไกล โดยขณะนี้กลุ่ม ส.ส.อยู่ระหว่างการโน้มน้าวนายคารมให้ร่วมงานกันต่อไป โดยนายคารมได้ให้สัมภาษณ์ว่า ออกจากกลุ่มไลน์เพราะอยากคิดอะไรโล่งๆ และทบทวนสิ่งที่ผ่านมา โดยหลังการประชุมอดีต ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ที่ผ่านมา ทำให้เห็นทิศทางโครงสร้างการทำงานของพรรคใหม่ว่ามีเรื่องของภาคอีสานน้อยมาก ด้วยความเป็นคนอีสานเห็นว่าหากแก้ปัญหาและพัฒนาภาคอีสานอย่างเต็มศักยภาพ โดยเฉพาะลดความเหลื่อมล้ำ เชื่อว่าจะสามารถแก้ปัญหาของประเทศได้มากกว่าครึ่ง เพราะภาคอีสานมีพื้นที่กว้างใหญ่ และมีประชากรเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ พรรคที่เราจะไปยังไม่ตอบโจทย์ในเรื่องนี้เท่าที่ควร

              “เมื่อมาถึงจุดหนึ่งก็ต้องทบทวนทิศทางที่จะเดินไป มันช่างละเลยกับคนอีสาน ที่ผ่านมาเคยอดทนมาหลายครั้งแล้ว มันใช่หรือไม่ใช่ก็ต้องถามตัวเองอีกครั้ง ผมไม่พูดไม่ได้เพราะเป็นคนอีสาน แต่พรรคที่เราจะไปไม่ให้ความสำคัญเท่าที่ควร ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ว่าวันที่ 14 มีนาคมนี้ จะไปปรากฏตัวในการสมัครเข้าพรรคก้าวไกลหรือไม่ ซึ่งหากตัดสินใจอย่างไรเชื่อว่าจะมีคนวิจารณ์เรามาก แต่ก็ยืนยันว่าสามารถตอบคำถามและมีคำอธิบายให้ประชาชนได้หมด ยังบอกไม่ได้ว่าจะไปพรรคไหน หรืออาจจะไปร่วมกับพรรคฝ่ายค้านด้วยกันก็ได้ ผมอยู่มาทั้ง นปช.และพรรคเพื่อไทย และไม่เคยทำอะไรขัดต่อความรู้สึกของตัวเอง” นายคารมกล่าว

ปชป.ขั้วหนุนแถลงไม่ทิ้งรัฐบาล

             ที่พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย ส.ส.ของพรรคเกือบ 30 คน ได้แก่ พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ ส.ส.สงขลา นายนริศ ขำนุรักษ์ ส.ส.พัทลุง นายมนตรี ปาน้อยนนท์ ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ นายธารา ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช เป็นต้น แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนถึงประเด็นที่มี ส.ส.บางรายแสดงความเห็นส่วนตัวว่า ควรถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล เนื่องจากมีคนสนิทของรัฐมนตรีรายหนึ่ง เกี่ยวพันกับการกักตุนหน้ากากอนามัย

              นายชินวรณ์ แถลงว่า สาเหตุที่รวมตัวกันในวันนี้ เพราะเห็นว่ามีเรื่องที่ควรจะปรึกษาหารือ จึงได้นัดหมาย ส.ส.บางส่วน มาพูดคุยกันในช่วงปิดสมัยประชุมสภา ทั้งในเรื่องสถานการณ์ระบาดไวรัสโควิด-19 พิษเศรษฐกิจ และภัยแล้ง ประกอบกับเพื่อน ส.ส.กลุ่มหนึ่งเห็นว่าควรปรึกษาหารือในประเด็นทางการเมือง ซึ่งประเด็นที่เกิดขึ้นเสมือนหนึ่งทำให้พรรคขาดเอกภาพ ในฐานะที่เป็นประธานวิปของพรรคจึงได้ให้ทุกคนหารือกันอย่างกว้างขวาง และมีความคิดเห็นร่วมกันว่าควรเสนอผู้บริหารพรรคต่อไป โดยเฉพาะในประเด็นการร่วมรัฐบาล เป็นประเด็นที่เป็นมติของพรรค พวกเราทุกคนจึงเห็นว่าขอให้เพื่อนสมาชิกแสดงความคิดเห็นภายใต้กรอบมติของพรรค เพราะไม่เช่นนั้นอาจเกิดปัญหาในการประสานงานกับพรรครัฐบาลได้

ลั่นปมธรรมนัสให้ตรวจสอบก่อน

              ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการทำความเข้าใจกับกลุ่มที่ต้องการให้พรรคถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอย่างไร นายชินวรณ์ กล่าวว่า ต้องทำความเข้าใจกับสมาชิกทั้งหมดในการแสดงความคิดเห็นในลักษณะที่จะกระทบต่อพรรค แต่เชื่อมั่นว่าทุกคนมีวินัยในการอยู่ร่วมกัน จึงอยากให้ทุกคนร่วมมือ ตลอดระยะเวลาที่พรรคผ่านร้อนผ่านหนาว ทุกคนก็มีความรับผิดชอบและยึดอุดมการณ์พรรค ส่วนที่ถามสามารถทบทวนมติเดิมของพรรคได้หรือไม่ เพราะ ส.ส.อีกกลุ่มคิดว่าการบริหารราชการของรัฐบาลติดเงื่อนไข 3 ข้อของพรรคในการร่วมรัฐบาลแล้วนั้น ขณะนี้พรรคยังไม่ประชุมจึงยังทบทวนมติพรรคไม่ได้

              “ทุกคนก็ต้องเคารพมติพรรค และกรณีที่ผู้ติดตาม ร.อ.ธรรมนัส เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกักตุนหน้ากากอนามัย ก็ต้องขอให้ตรวจสอบ ซึ่ง ร.อ.ธรรมนัสประกาศชัดเจนแล้วว่าต้องตรวจสอบ และเราถือว่าการกักตุนเป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก ซึ่งขณะนี้ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค ซึ่งเป็น รมว.พาณิชย์ ที่รับผิดชอบกรมการค้าภายใน ก็ได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์ไปแจ้งข้อกล่าวหาบุคคลที่อยู่กระบวนการแล้ว ส่วนคำพายเรือให้โจรนั่งนั้น ไม่อยากตอบคำถามนี้ เพราะเป็นเพียงแค่วาทกรรม”

“ปชป.”สวน“สุรทิน”หวังผลตอบแทน

              นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายสุรทิน พิจารณ์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาธิปไตยใหม่ ออกแถลงการณ์พาดพิงถึงพรรคประชาธิปัตย์อย่างไร้เหตุผล รวมถึงเรียกร้องให้ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลว่า ส่วนตัวขอขอบคุณนายสุรทินที่นึกถึงพรรคประชาธิปัตย์ และอยากให้นายสุรทินขอบคุณพรรคประชาธิปัตย์ด้วย ที่ทำให้นายสุรทินมีโอกาส สร้างความน่าสนใจให้แก่ตัวเองผ่านสื่อมวลชน และส่งเสียงไปถึงผู้มีอำนาจในรัฐบาล ดังนั้นหากนายสุรทินมีความตั้งใจจะส่งกำลังใจให้คนที่กำลังทำงานอย่างหนัก ก็ควรให้กำลังใจทุกคน ทุกฝ่าย ไม่ใช่เลือกส่งกำลังใจให้แค่บางคน ด้วยความคาดหวังอย่างใดอย่างหนึ่งตอบแทนเป็นส่วนตัวหรือไม่อย่างไร

"บิ๊กป้อม'แนะ'ไผ่-สิระ'หาจังหวะพูดคุย

              วันเดียวกัน นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานวิปรัฐบาล กล่าวถึงความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐ ระหว่าง นายไผ่ ลิกค์ ส.ส.กำแพงเพชร และ นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.นั้น คงไม่มีปัญหา อยู่พรรคเดียวกันยังไงก็คุยกันได้ โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรค ได้โทรศัพท์ไปพูดคุยความเข้าใจกับทั้งคู่แล้ว และได้ระบุด้วยว่าให้หาโอกาสไปพบปะพูดคุยทำความเข้าใจเพื่อกระชับความสัมพันธ์กันอีกด้วย

หยุดโหน‘โควิด’โยงการเมือง

              ส่วนนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีพรรคฝ่ายค้านมีการกล่าวหารัฐบาลจัดการปัญหาโควิด-19 ล้มเหลวโดยไม่พิจารณาถึงข้อเท็จจริง และความทุ่มเทตั้งใจของทุกภาคส่วนที่จะร่วมกันฝ่าฟันวิกฤตินี้ไปให้ได้ ว่า ขณะนี้รัฐบาลได้ดำเนินการควบคุมโรคอย่างเต็มที่ จึงขอวิงวอนทุกฝ่ายหยุดใช้สถานการณ์สร้างความขัดแย้งทางการเมือง และหันมาร่วมมือร่วมใจ ฝ่าฟันสถานการณ์ที่ไม่ปกตินี้ไปด้วยกัน

 

 

 

 

กมธ.ซีกฝ่ายค้านชง‘ยุบทิ้งศาลรธน.

              ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ที่มีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้พิจารณาเนื้อหาของรัฐธรรมนูญในหมวด 10 ว่าด้วยศาล โดยกรรมาธิการวิสามัญฯ ส่วนใหญ่เสนอให้ทบทวนบทบาทและอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ โดยนายชูศักดิ์ ศิรินิล กรรมาธิการวิสามัญฯ สัดส่วนฝ่ายค้าน กล่าวว่า ศาลรัฐธรรมนูญนั้นเห็นว่ามีอำนาจหน้าที่มากเกินไป และบางเรื่องบางองค์กรชี้ขาดได้เอง แต่ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นซูเปอร์องค์กร และวินิจฉัยสร้างรัฐธรรมนูญเสียเอง จึงมีความเห็นกันว่าควรมีการเปลี่ยนแปลงและจัดตั้งองค์กรขึ้นใหม่ เช่น การตั้งคณะกรรมการตุลาการรัฐธรรมนูญ เป็นต้น

              นายโภคิน พลกุล กรรมาธิการวิสามัญฯ สัดส่วนฝ่ายค้าน กล่าวว่า กระบวนการยุติธรรมไม่ได้ทำหน้าที่อย่างควรที่จะเป็น เช่น การไม่ให้ศาลปกครองเข้าไปตรวจสอบองค์กรอิสระ เป็นต้น ดังนั้น ควรกำหนดลงไปให้ชัดเจนว่าการใช้ดุลพินิจขององค์กรอิสระต้องถูกตรวจสอบได้ ส่วนศาลรัฐธรรมนูญควรกลับไปเป็นระบบคณะกรรมการตุลาการรัฐธรรมนูญ ที่มีหน้าที่หลักในการความเห็น ส่วนเรื่องการวิพากษ์วิจารณ์คำพิพากษาก็ควรให้ทำได้ภายใต้หลักวิชาการ

ชี้ควรทำหน้าที่เหมือน กมธ.

              ด้าน นายชัยเกษม นิติสิริ กรรมาธิการวิสามัญฯ สัดส่วนฝ่ายค้าน กล่าวว่า อย่างน้อยที่สุดที่ควรจะทำ คือ ผู้แทนปวงชนควรมีสิทธิวิจารณ์ถึงความถูกต้องเป็นธรรม ซึ่งเป็นการตรวจสอบโดยประชาชน แต่ที่ผ่านมาทำอะไรไม่ได้เลย สำหรับกรณีของศาลรัฐธรรมนูญนั้นเหมือนเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด แต่ในมุมมองส่วนตัวคิดว่าควรทำหน้าที่เป็นเสมือนหนึ่งคณะกรรมาธิการคณะหนึ่งเท่านั้น มีผู้มีความรู้หลากหลายสาขาวิชา ไม่ใช่ตัดสินชี้เป็นชี้ตายแบบการยุบพรรคการเมือง

              นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา กมธ.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจตุลาการนั้น ปัจจุบันเป็นการตรวจสอบกันเอง ไม่มีกรณีที่ฝ่ายนิติบัญญัติเข้าไปตรวจสอบการใช้ดุลพินิจของฝ่ายตุลาการได้เลย ที่ผ่านมาจึงส่งผลให้เกิดกรณีลักลั่นกัน เช่น บางศาลไม่ให้โอกาสคู่ความนำพยานเข้ามาสืบโดยไม่ทราบเหตุผล เป็นต้น ดังนั้น ต้องแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้คณะกรรมาธิการของสภา เรียกมาถามถึงการพิพากษาอรรถคดี กระบวนการตรวจสอบฝ่ายตุลาการเดิมมีการถอดถอนได้ แต่ปัจจุบันไม่มีอำนาจส่วนนี้แล้ว ดังนั้น การตรวจสอบตุลาการเป็นกรณีที่เราเห็นปัญหาอยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร

ซักฟอกนอกสภาหงอยร่ายยาว ‘ไอโอ’

              ที่โรงแรมแลงคาสเตอร์ ฝ่ายค้านเพื่อประชาชนจัดเวทีที่ 1 ซักฟอกนอกสภา “แฉกระบวนการ IO ฉีกหน้ากากขบวนการเพิ่มความขัดแย้ง” โดยมี พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย, นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกชั่วคราวพรรคก้าวไกล, นายนิคม บุญวิเศษ หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย, นางอังคณา นีละไพจิตร นักปกป้องสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, นายโอมาร์ หนุนอนันต์ เยาวชนคนรุ่นใหม่ Producer ปั่นประสาท podcast เป็นวิทยากร และนายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ เป็นผู้ดำเนินรายการ 

              พล.ท.ภราดร กล่าวว่า คำว่า “ไอโอ” คือการปฏิบัติการข่าวสาร เป็นรูปแบบของเครื่องมือหนึ่งที่สื่อสารไปยังเป้าหมายให้เชื่อตามที่เราต้องการให้เชื่อ มีทั้งเชื่อในความจริงและความเท็จ แล้วแต่จะไปใช้ในทางใด โดยเครื่องมือเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติการทางทหาร เมื่อเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้น ก็จะใช้ 3 เครื่องมือหลักคือ การประชาสัมพันธ์ การปฏิบัติการจิตวิทยา การปฏิบัติการข่าวสาร ในภารกิจการป้องปรามและปราบปราบความไม่สงบ ซึ่งมีคู่มือทางทหารเรียกว่า ราชการสนาม รส.100-20

              “ตรงนี้ที่เกิดปัญหา พอผู้รับผิดชอบเป็นกองทัพแล้วการขีดเส้นแบ่งระหว่างสิทธิเสรีภาพของรัฐธรรมนูญที่พี่น้องประชาชนเคลื่อนไหวกันอยู่ กับผู้รับผิดชอบที่เป็นทางทหาร เส้นแบ่งตามสิทธิเสรีภาพกับการก่อความไม่สงบมันอยู่ตรงไหน ถ้าเส้นมันแบ่งไปให้น้ำหนักตามรัฐธรรมนูญเป็นการก่อความไม่สงบ ก็ไปใช้คู่มือ รส.100-20 จึงเกิดปัญหา พอทหารใช้ไปมากๆ ก็มองว่าประชาชนเป็นอริราชศัตรู เพราะฐานรากมาจากการยึดอำนาจ สุดท้ายไปนำเครื่องมือนี้มาใช้ และใช้ปฏิบัติการข่าวสารว่าเป็นคนดีมีเกียรติยศ เข้ามาแก้ไขปัญหาให้บ้านเมือง จนทุกวันนี้ไม่รู้หลงการปฏิบัติการข่าวสารหรือไม่ ต้องถามจากพี่น้องประชาชน เหตุเพราะทหารนำเครื่องมือมาใช้ทางการเมือง ถ้าเป็นประเทศที่เจริญแล้ว ทหารจะไม่มายุ่งการเมือง ทหารมีหน้าที่สำนึกรักประชาธิปไตย เคียงข้างรับใช้ประชาชน ถ้าทำตามหลักสากลเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้น” พล.ท.ภราดร กล่าว

“วิโรจน์” ชี้แบ่งคนให้เกลียดชัง

              ขณะที่นายวิโรจน์กล่าวว่า กระบวนการไอโอชั้นที่หนึ่งต้องการให้ผู้สนับสนุนศัตรูของตนเกิดความเกลียดชังผู้สนับสนุนของตน เขาไม่ได้รักผู้สนับสนุนของเขาแต่เขาใช้เป็นเครื่องมือในการกำจัดศัตรูของเขา และสิ่งที่จะทำให้การยึดอำนาจสำเร็จ วางตัวเองเป็นฮีโร่ และเข้ามาขอเวลาอีกไม่นาน คือต้องทำให้ผู้สนับสนุนแต่ละฝ่ายด่าทอเกลียดชัง นั่นคือเป้าหมาย นี่คือหนังม้วนเก่าที่กำลังจะฉายซ้ำ นอกจากนี้ปัญหาคือกรอบความคิดเขายังไม่เปลี่ยน แต่กำลังจะขายแฟรนไชส์จากคนของเขาไปสู่เอกชน อันนี้น่ากลัวแต่อยากจะเตือนว่าไอโอสมัยนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน ประชาชนสามารถค้นหาความจริงได้จากโลกอินเทอร์เน็ต คุณจะเจอการคานอำนาจความจริง ยันยันว่าคนยุคใหม่รู้เท่าทัน เขาไม่เกลียดกันเพราะถูกสั่งให้เกลียด เมื่อไรที่เขาอึดอัด เดี๋ยวก็โป๊ะแตกอีกรอบ

              “ถ้าสังคมไม่ปกป้องความจริง ถ้าเราปล่อยกระบวนการเท็จที่แย่ๆ แบบนี้มาหลอกบ้านเมืองต่อไปไม่ได้ เราควรฉุกคิดกันและควรหันมารักกัน แต่ถ้าไม่ชอบกันก็อยู่ด้วยกันได้ไม่ต้องเกลียดกัน แค่ไม่ชอบกันก็คุยเรื่องอื่นก็พอแล้ว” นายวิโรจน์ กล่าว

 

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ