“ครูดิ่งตึกดับเครียดหนักถูกบังคับให้หานักเรียนใหม่ตามยอด” เกิดเรื่องราวใหญ่โตในสถานศึกษาแต่ผู้บริหารระดับกระทรวงศึกษาธิการเล่นบทนิ่งเฉย ต้นสังกัดก็บอกปัดไม่เกี่ยวกับ “ปั่นยอด” ดึงเด็กเข้าเรียน ใจร้ายไปมั๊ย
การศึกษาไทยมาถึงจุดจริงหรือ มีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อว่าจะมีอยู่จริง “ครูแจ่ม” ตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว พบว่า “มีอยู่จริง” เป็นหน้าที่เพิ่มของ “ครู” ยุค2565 นอกจากเป็นทุกอย่างให้แล้วยังต้องทำหน้าที่ “การตลาด” ดึงเด็กเข้าเรียน ภาพเหล่านี้มีความชัดเจนในสถานศึกษาภาคเอกชนโดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษา ส่วนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งสถานศึกษาของรัฐและเอกชน ต่างได้รับเงินอุดหนุนรายหัวเรียนฟรีจากรัฐตัวเลขผกผันตามจำนวนเด็ก
ขยับเข้าไปใกล้ข้อเท็จจริง เมื่อใกล้เปิดเทอมใหม่ ทั้ง “ครูอาจารย์” ต้องปั่นยอดดึงเด็กเข้าเรียนตามที่ได้รับมอบหมายจากฝ่ายบริหารระดับสูงของสถานศึกษา มีมานานแล้ว แต่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19
"ครูอาจารย์ ปั่นยอด ดึงเด็กเข้าเรียนเป็นนโยบายของมหาวิทยาลัยเอกชนไปแล้ว เดิมเป็นหน้าที่ของฝ่ายแนะแนว และฝ่ายทะเบียนนักศึกษา เดิมเป็นแบบนี้ จริงๆ แต่ 2-3 ปีมานี้หนักมากมหาวิทยาลัยเอกชน ส่วนมากบอกเลยเป็นนโยบายที่อาจารย์ต้องถึงเด็กมาเรียน สื่อประชาสัมพันธ์อาจารย์ต้องลงขันช่วยกันออกเงินเองมหาวิทยาลัยไม่มีงบให้ " ครูอาจารย์ มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งระบุ
ลืมไปเลยภาพจำในอดีต “ครูอาจารย์” มีหน้าที่สอนหนังสือ ควบคู่ทำการศึกษาวิจัยและพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนให้ตอบโจทย์สังคมโลกที่ปรับเปลี่ยนไป
“ครูอาจารย์” ยุคนี้ต้องเก่งการตลอด ออกโรดโชว์ตามโรงเรียน เพื่อพบปะพูดคุยแนะนำสถาบันอุดมศึกษา แต่ต้องฝ่าด่าน “ครูแนะแนว” ก่อน การโรดโชว์ถึงจะบรรลุเป้าหมาย เพื่อให้ครูและนักเรียนได้เห็นภาพความสำเร็จในอนาคตหากมาเรียนที่นี่ ยิ่งเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ต้องจัดอีเว้นท์ระดับมีซุปตาร์หรือบุคคลมีชื่อเสียงมาร่วมงาน เพื่อจูงใจเด็กมาร่วมกิจกรรม
ดูเหมือนว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กลายเป็นตัวเร่งสำคัญให้การศึกษาไทยต้องปรับตัวครั้งใหญ่ เพื่อความอยู่รอด มหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงของรัฐไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่ต้องปรับตัวเพื่อดึงยอดเด็กไม่ให้ร่วงไปมากกว่าเดิมมากนัก
“ครูแจ่ม” สอบถามผู้บริหารมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง ออกตัวว่า เพื่อความอยู่รอด "ครูอาจาย์" ต้องร่วมด้วยช่วยกัน และใช้ทุกมาตรการจูงใจ ไม่ว่าจะเป็นการให้ทุนเรียนฟรีแต่มีน้อยเพื่อเป็นที่เชิดหน้าชูตาสถาบันการศึกษาเมื่อมีคนเก่งมาเรียน ที่เหลือเป็นนักเรียนที่ต้องเรียนกับสถาบัน 4 ปีเด็กกลุ่มนี้มีกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.)รองรับอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยมีรายได้จากส่วนนี้และเด็กที่มีเงินจ่ายค่าเทอมโดยไม่ต้องกู้กยศ.
ว่ากันว่า ค่าเทอมเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนระดับปริญญาตรีอยู่ระหว่าง 3.5 หมื่น- 5 หมื่นบาท เด็กเรียน 4 ปี หากจำนวนผู้เรียนมาก รายได้ก็มากตามไปด้วย ที่แย่หนักหลักสูตรที่ไม่มีเด็กเรียน หรือสมัครเรียนไม่ถึง 20 คน จะถูกยุบรวมกับหลักสูตรที่ใกล้เคียงกัน เคยเกิดกรณียุบหลักสูตรหลายสาขาจนถึงขั้นเกือบยุบคณะตามไปด้วย คณบดีคณะถูกกดดันหนักเมื่อไม่มีเด็กมาเรียน จำต้องถอดใจลาออก
เมื่อบทบาท “ครูอาจารย์” เปลี่ยนไปใช้การตลาดนำการศึกษา การปั่นยอดเพิ่มเด็กเข้าเรียนจึงเริ่มขึ้น จากคณะวิชาในมหาวิทยาลัยเอกชน ต้องดึงเด็กเข้าเรียนจำนวนเพิ่มตามสัดส่วนของจำนวนครูอาจารย์ในแต่ละคณะวิชา
กล่าวคือ คณะวิชาที่มีครูอาจารย์ จำนวน 20 คนต้องดึงเด็กเข้ามาเรียนให้ได้200คน /คณะวิชาที่มีครูอาจารย์ จำนวน 30 คนต้องดึงเด็กเข้ามาเรียนให้ได้ 300 คน /คณะวิชาที่มีครูอาจารย์ จำนวน 40 คนต้องดึงเด็กเข้ามาเรียนให้ได้400คน/คณะวิชาที่มีครูอาจารย์ จำนวน 50 คนต้องดึงเด็กเข้ามาเรียนให้ได้500คน/คณะวิชาที่มีครูอาจารย์ จำนวน 60 คนต้องดึงเด็กเข้ามาเรียนให้ได้ 600 คน (ดูแบนเนอร์ประกอบ)ฯลฯ
มหาวิทยาลัยเอกชนบางแห่งลงทุนสร้างตึกอาคารใหม่ ด้วยเงินจำนวนมหาศาลแต่ไม่มีเด็กมาเรียน เมื่อโลกหลังโควิด-19 กำลังจะกลายเป็น “โรคประจำถิ่น” นักเรียน นักศึกษา เรียนออนไลน์อยู่ที่บ้าน หรือเรียนออนไลน์ได้ทุกที่ ทุกเวลา ไม่จำเป็นต้องมาที่มหาวิทยาลัย
สภาวะทางการเงินมหาวิทยาลัยเอกชนที่ลงทุนหนักอยู่ในภาวะหนี้ท่วม จะพึ่งพารัฐก็ไม่ได้ ทางออกที่เป็นไปได้จึงตกหนักที่ “ครูอาจารย์” ต้องหาทุกวิถีทางเพื่อเพิ่มเด็กเข้ามาเรียนให้ได้มากที่สุด
ปรากฏการณ์ “ครูอาจารย์” ปั่นยอดดึงเด็กเข้าเรียนในมุมมอง ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน นักการศึกษา ระบุว่า การศึกษาไทยน่าเป็นห่วงมาก รัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กระทรวงการคลัง ต้องร่วมกันหาทางออก ไม่ใช่ปล่อยให้สถานศึกษา ทั้ง โรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัยหาทางออกเพื่อความอยู่รอดด้วยวิธีการแบบนี้ ยิ่งใกล้เปิดเทอมแรงกดดันที่ครูอาจารย์ได้รับจะเป็นอย่างไร อย่าคิดแต่เรื่องเปิดเทอมต้องเรียนออนไซต์ นักเรียน นักศึกษา ต้องรับวัคซีน คิดแค่นั้นไม่ได้ ต้องลงไปดูรากเหง้าของปัญหาการศึกษาไทย
“ทำไมครูอาจารย์ต้องปั่นยอดดึงเด็กเข้าเรียน ไม่ต่างจากแบงค์ บริษัทประกัน การศึกษาไทยมาถึงจุดต่ำสุดแบบนี้ได้อย่างไร กระทรวงศึกษาฯ กระทรวงอุดมฯ ทำอะไรกันอยู่ กระทรวงการคลังปล่อยให้กู้กยศ.ให้เด็กทุกคนได้จริงหรือ ทำไมไม่ครอบคลุมค่าครองชีพ ค่าเดินทาง ค่ากินอยู่ มีค่าเทอมอย่างเดียวในโลกความจริงเด็กเรียนได้จริงหรือ” ศ.ดร.กนก ตั้งข้อสังเกต
การศึกษาไทยมาถึงจุดต่ำสุดนี้ได้อย่างไร ใครควรรับผิดชอบ?
ข่าวที่เกี่ยวข้อง