ข่าว

เจ้าหญิงลำซิ่ง 10 // ** 27786561

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เจ้าหญิงลำซิ่ง 10 // ** 27786561 เสี่ยอำนวยจ้างชัยมาทำร้ายขวัญวาริน แต่สายชลเห็นก่อน จึงคว้าตัวขวัญวารินแล้วผลักไปอีกทาง ตัวเองจึงถูกรถเข้าชน ทำให้สายชลอาการหนักประสาทตามีปัญหา ขวัญวารินเสียใจกับเหตุการณ์ครั้งนี้มาก สายชลฟื้นขึ้นมาพอรู้ว่าตัวเองมองไม่เห็นก็ร้องไห้ ขวัญวารินบอกว่าจะอยู่เคียงข้างคอยดูแล รัศมีรีบขึ้นมากรุงเทพรู้ข่าวสายชลก็มาที่โรงพยาบาล ทันเห็นภาพขวัญวารินกอดกับสายชลเข้าพอดีก็เกิดหัวใจวูบวาบ ขวัญวารินเดินออกมาจากห้องหลังจากเยี่ยมสายชลเสร็จ รัศมีโผล่มาเรียกเธอรีบถามว่ากลับมาเมื่อไหร่ รัศมีไม่ตอบย้อนถามว่าสายชลเป็นอะไรมากรึเปล่า "หมอบอกปลอดภัยแล้วล่ะ แต่ประสาทตาอาจจะมีปัญหานิดหน่อย" รัศมีถึงกับสลดไป ก่อนจะตัดใจคิดถึงเรื่องงาน "เชิญเสด็จทางนี้ดีกว่าเพคะ หม่อมฉันมีเรื่องจะกราบทูลให้ทรงทราบ" พนิดากำลังจะเดินมาเข้าห้องน้ำ และบังเอิญได้ยินเสียงรัศมีกับขวัญวารินคุยกันอยู่ข้างในจึงแอบฟัง "ทั้งหมดมันเป็นเรื่องจริงเหรอพี่หมี วารินไม่อยากจะเชื่อเลย" "ถึงเวลาต้องยอมรับความจริงแล้วเพคะ ตอนนี้ฝ่าบาทต้องทรงเสด็จไปจากที่นี่" "ไปไหนเหรอ" "ลี้ภัยไปยังประเทศที่สามเพคะ และต้องเป็นประเทศที่ไม่มีพันธะทางกฎหมายกับเวียงสิงห์ มิเช่นนั้นจะทรงมีอันตราย" "พี่หมีจะให้วารินทิ้งทุกอย่างไปแบบนี้น่ะเหรอ วารินทำไม่ได้หรอก" "พวกศัตรูกำลังตามล่าฝ่าบาทอยู่นะเพคะ ถ้ายังทรงนิ่งเฉย คนรอบข้างของพระองค์อาจจะเดือดร้อนไปด้วย" ขวัญวารินอึ้งไป พนิดาที่มาทำธุระแอบยืนเงียบฟังอยู่อย่างตกตะลึง "ฝ่าบาท?" ขวัญวารินมาส่งรัศมีที่หน้าลิฟต์ รัศมียังหนักใจ "เรื่องที่ทูลขอ อย่าทรงลืมนะเพคะอนาคตของเวียงสิงห์ตอนนี้ขึ้นอยู่กับฝ่าบาทแล้ว" "ขอเวลาอีกนิดนะพี่หมี วารินยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องเคลียร์ให้เรียบร้อยก่อน" "หม่อมฉันจะรอเพคะ" รัศมีปลีกตัวลงลิฟต์ไป ขวัญวารินมองตามโดยไม่ทันสังเกตพนิดาที่ตามมาซุ่มอยู่แถวนั้น ส่วนรัศมีเดินมาถึงล็อบบี้แต่แล้วก็เปลี่ยนใจกลับไปที่ห้องของสายชล สายชลกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง ระหว่างนั้นรัศมีก็แอบเข้ามาดูเงียบๆ รัศมีเอื้อมมือมาลูบศีรษะของสายชลอย่างห่วงใย บังเอิญสายชลรู้สึกตัวตี่นขึ้น "ใครน่ะ วารินเหรอ" สายชลถามทั้งๆ ที่หันมองอยู่ รัศมีถึงได้ผิดสังเกตยกมือโบกผ่านหน้าสายชล ครั้นพบว่าเขามองไม่เห็นก็ตกใจ "ฉันนึกว่าวารินกลับไปแล้วซะอีก ไม่ต้องห่วงนะ ตอนนี้ฉันเริ่มหายกลัวแล้วล่ะ ถึงต้องตาบอดจริงๆ ฉันก็คงอยู่ได้ วารินอย่าคิดมากนะ เออจริงสิ แล้วคุณรัศมีติดต่อมารึเปล่าอย่าให้คุณรัศมีรู้เรื่องนี้นะวาริน บอกเธอแค่ว่าฉันสบายดีก็พอ ฉันทำผิดกับเธอมามาก ไม่อยากให้คุณรัศมีต้องมาเสียใจเพราะฉันอีก" รัศมีน้ำตาซึมออกมา เอื้อมมือไปกุมมือสายชลไว้ "มันก็แปลกนะ ตอนที่ฉันยังมองเห็น ฉันไม่เคยจ้องคุณรัศมีเต็มๆ เลยสักครั้ง แต่พอเป็นแบบนี้ ฉันกลับนึกถึงแต่หน้าของเธอตลอดเวลา ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน" สายชลกุมมือรัศมีพบแหวนอยู่ผิดที่ผิดตำแหน่ง เขาก็ฉุกใจลุกขึ้น "นี่คุณไม่ใช่วารินนี่ คุณเป็นใคร" รัศมีพยายามสะบัดมือสายชลออก แต่สายชลกลับยื้อไว้สุดฤทธิ์ "เดี๋ยว บอกผมมาก่อนสิ คุณเป็นใคร" รัศมีกลั้นน้ำตาไม่อยู่เผลอสะอื้นออกมา "คุณรัศมี นั่นคุณใช่มั้ย ใช่คุณรึเปล่า" สายชลกอดรัศมีแต่เธอผลักสายชลออกแล้วหนีไป "คุณรัศมี" สายชลร้องเรียกรัศมีวิ่งหลบเข้ามาร้องไห้ในลิฟต์ รีบกดปุ่มลงสู่ชั้นล่าง "หยุดร้องไห้เดี๋ยวนี้นะรัศมี เธอยังมีงานสำคัญต้องทำเธอไม่มีสิทธิ์รัก หรือสงสารใครทั้งนั้น ไม่มี" รัศมีพยายามกลั้นน้ำตาแต่กลั้นไม่อยู่ เธอทรุดตัวลงกอดเข่าร้องไห้ออกมา หมอตรวจอาการของสายชลล่าสุดพบว่ามีการตอบสนองดีขึ้นมาก มีลุ้นว่าสายชลจะกลับมามองเห็นเหมือนเดิมในไม่ช้า นาวีกำลังป้อนข้าวให้สายชลอยู่ โดยไม่ทันสังเกตว่าสายชลกำลังรู้สึกผิดในใจ พอจะป้อนอีกคำสายชลก็แสดงอาการห้ามเหมือนว่าอิ่มแล้ว นาวีบอกให้ทานอีกคำจะได้หายไวๆ "ตอนแรกฉันนึกว่าพี่จะสมน้ำหน้าฉันซะอีก ที่ฉันเป็นแบบนี้" "สายชลพูดอะไรแบบนั้น ถึงเราไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ แต่เราก็โตมาด้วยกันนะ พี่ไม่มีวันคิดกับสายชลในแง่ร้ายหรอก" "แต่ฉันเคยคิด เคยบีบบังคับพี่เรื่องวาริน แล้วพี่ก็ยอมให้ฉันทั้งๆ ที่ฉันไม่มีสิทธิ์จะทำแบบนั้นเลย" "สายชล พี่ก็ผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับสายชลเหมือนกัน" "พี่ไม่ผิดหรอก ความรักมันห้ามกันไม่ได้ เราไม่มีวันรู้หรอกว่าสักวันหัวใจเราจะตกเป็นของใคร" "พี่ไม่เข้าใจสายชล มีใครพูดอะไรกับสายชลงั้นเหรอ สายชลดูเปลี่ยนๆ ไปนะ" "มีผู้หญิงคนหนึ่งที่สอนให้ฉันรู้ว่า ความรักที่ไม่ต้องการผลตอบแทนมันเป็นยังไง ว่าแต่พี่เถอะ พี่ควรจะสารภาพความรู้สึกกับวารินเขาซะทีนะ ไม่ใช่ปล่อยให้เขารอเคว้งอยู่แบบนี้ ไม่อย่างนั้นเกิดมีใครมาแข่งกับพี่อีก ฉันไม่รู้ด้วยนะ" "สายชลคิดว่าพี่ควรทำอย่างนั้นเหรอ" "หัวใจของพี่ ความรักของพี่ ทำไมต้องถามคนอื่นด้วยล่ะ" สายชลพูดให้แง่คิด ทำให้นาวีเริ่มหัวใจพองโตอีกครั้ง นาวีรีบมาหาขวัญวาริน ขวัญวารินกำลังขอบคุณทีมงานที่วันนี้ได้ถ่ายเอ็มวีเป็นตัวสุดท้ายก่อนทัวร์คอนเสิร์ต พอหันมาก็เจอกับนาวี "วาริน พี่มีเรื่องสำคัญจะบอกกับวาริน" "วารินก็มีเรื่องจะบอกกับพี่วีเหมือนกัน" "ถ้างั้นวารินพูดก่อนสิ" "พี่วีพูดก่อนดีกว่า เพราะเรื่องของวารินอาจจะเป็นข่าวร้ายก็ได้" "แต่ของพี่เป็นข่าวดีแน่นอน วาริน" จ้อยกับเขียดลุ้นกันตัวโก่ง "พี่อยากจะบอกกับวารินมานานแล้ว ว่าพี่" นาวีดีดนิ้วแล้วแบมือรอ ไอ้จ้อยออกสตาร์ทถือช่อดอกไม้วิ่งลุ้นๆ เข้าไป แต่พนิดาดันตัดหน้าไปส่งใบแฟกซ์ใส่มือนาวี "ทางชาโดว์เรคคอร์ทส่งแฟกซ์มาค่ะบอกว่าต้องการเจรจากับเรา" นาวีอึ้งไป มองดูใบแฟกซ์ในมืองงๆ เขียดมองดอกไม้ที่นาวีซื้อมาจะให้กับขวัญวารินแล้วบอกให้แช่ตู้เย็นไว้ก่อน ในที่ประชุมประกอบไปด้วย เสี่ยอำนวย กวิน และเลขาฯ กับพนิดา นาวี และขวัญวาริน "ผมมาคิดๆ ดูแล้วนะ เราต่างฝ่ายก็ต่างทำมาค้าขาย สู้กันแบบนี้แล้วจะได้อะไรขึ้นมา ผมก็เลยปรึกษากับเจ้ากวินว่า อยากจะขอสงบศึก นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป" "นี่เป็นสัญญาที่ผมกับคุณพ่อร่างขึ้น น้องดาลองอ่านดูก่อนสิครับ" กวินเลื่อนสัญญาไปตรงหน้าพนิดา เธอรับไปอ่านอย่างเคลือบแคลง "ไม่ง่ายไปหน่อยเหรอครับเสี่ย เรื่องบานปลายถึงขั้นนี้แล้วค่อยมาเจรจา สายชลน้องผม ยังเจ็บอยู่แท้ๆ" "อ้าว อย่าปรักปรำกันสิคุณวี ตำรวจเขายังไม่ได้สรุปซะหน่อยว่าเป็นฝีมือผม ไม่แน่นะน้องชายคุณอาจจะไปมีเรื่องมีราวกับใครมาก่อนหน้านี้ก็ได้" "ในสัญญานี่ระบุว่า ทางชาโดว์เรคคอร์ทจะเพิ่มทุนให้กับพนิดามิวสิก อีก 30%" "ใช่ และก็รับรองด้วยว่าทางเราจะไม่ไปก้าวก่ายเรื่องงานของพนิดามิวสิกเด็ดขาด ส่วนเรื่องระหว่างวารินกับรจนา ทางเราก็จะจัดคอนเสิร์ตขึ้นเพื่อเป็นการประสานรอยร้าว" "ไม่ดีเหรอจ๊ะหนูดา สมัยนี้ใครๆ เขาก็รณณรงค์ให้รู้จักสามัคคีกัน เราจบเรื่องวิธีนี้ชาวบ้านเขาคงไม่ติดใจหรอกจ้ะ" "เงินสิบห้าล้าน ถ้าดาคิดว่าน้อยไปก็ต่อรองได้นะ งานนี้พี่อยากให้ทุกฝ่ายพอใจ" พนิดาลังเลใจเพราะจำนวนเงิน ได้แต่มองไปที่นาวีอย่างขอความเห็น "ผมไม่เห็นด้วยครับคุณดา เราบุกบั่นมาถึงขั้นนี้แล้ว ทำไมต้องยอมเป็นเบี้ยล่างให้คนอื่นด้วยละครับ" "อย่าพูดเองเออเองสิครับคุณวี ผมว่างานนี้คุณน่าจะฟังความเห็นเจ้านายบ้างนะครับ หรือไม่อย่างน้อยก็ควรฟังเสียงส่วนใหญ่ซะบ้าง" "ขอโทษค่ะ เรื่องนี้ดาอยากหารือเป็นการส่วนตัวกับวาริน" นาวีกับขวัญวารินมองหน้ากันอย่างแปลกใจ กวินมองไปที่เสี่ยอำนวย เสี่ยอำนวยพยักหน้าอนุญาต "เธอคิดว่าไงบ้างวาริน" "วารินเห็นด้วยกับพี่วีค่ะ อีกฝ่ายทำเราถึงขนาดนี้เราไม่ควรจะอ่อนข้อให้ อย่างน้อยถึงไม่เอาเรื่อง แต่ก็ไม่น่าจะไปคบค้ากันแบบนี้" "เธอก็พูดง่ายสิ ในเมื่อเธอกำลังจะไปอยู่แล้วนี่" "คุณดา?" "ขอโทษนะ แต่ฐานะที่แท้จริงของเธอ ฉันรู้หมดแล้วและก็รู้ด้วยว่าเธอมีแผนจะเดินทางกลับเวียงสิงห์ เธอเคยคิดบ้างมั้ยว่าทุกคนในบริษัทจะลำบากแค่ไหน ที่จู่ๆ ศิลปินเบอร์หนึ่งต้องหายตัวไป แล้วฉันจะขาดทุนมโหฬารขนาดไหน จะเอาอะไรไปสู้กับชาโดว์เรคคอร์ท" "แต่ว่า" "คิดว่าทำเพื่อส่วนรวมนะวาริน เรื่องความถูกต้องเราค่อยว่ากันทีหลัง ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุด คือความอยู่รอดต่างหาก" พนิดากับเข้ามาในห้องประชุมอีกครั้งและบอกว่าขวัญวารินยอมที่จะมาเป็นศิลปินอีกเบอร์ของชาโดว์เรคคอร์ท นาวีโกรธมากหุนหันออกจากห้อง ขวัญวารินตามมาจะอธิบาย นาวีใส่ขวัญวารินก่อนว่าทำไมถึงทำแบบนี้ รจนาพูดแทรกขึ้นมาว่าเพื่อความอยู่รอด ทำให้นาวีมองหน้ารจนาแล้วมองหน้าขวัญวารินว่าผู้หญิงก็เหมือนกันหมดแล้วเดินออกไป สายชลกำลังนั่งฟังข่าวอยู่ สักพักก็มีคนเดินเข้ามากดรีโมทปิดทีวี สายชลรีบถามว่าเป็นใคร รัศมีกระแอมขึ้น สายชลเพ่งมองเห็นเงาลางๆ ไม่ชัดเจน แต่พอเดาออกจากรูปร่างว่าเป็นรัศมี "อ๋อ วารินเหรอ ทำไมไม่พูดล่ะหรือว่าเจ็บคอ" "อะฮึมอะฮึม" "เข้าใจแล้ว สงสัยคงร้องเพลงมากไปสิท่า" รัศมีส่งกระเช้าเยี่ยมไข้ยัดใส่มือสายชล แล้วทำท่าจะไปแต่ก็ถูกสายชลรวบเอวไปกอดไว้หน้าตาเฉย "อะฮึมๆๆๆ อะฮึม" รัศมีท่าทางลนลาน "ในนี้แอร์หนาวจังเลย วารินช่วยพาฉันไปสูดอากาศข้างนอกหน่อยได้มั้ย" รัศมีลังเลเลิ่กลั่ก ชักสงสัยว่าสายชลตาบอดจริงหรือเปล่า รัศมีกำลังเข็นรถเข็นพาสายชลมาสูดอากาศในบริเวณที่มีร่มเงาแมกไม้ "อากาศดีจังเลยนะวารินว่ามั้ย" รัศมีเบ้หน้าอย่างหมั่นไส้ ที่เอะอะสายชลก็พูดถึงแต่วาริน "อากาศดีๆ แบบนี้ถ้าได้อยู่ใกล้ๆ กับคนที่เรารักก็ดีสิ ฉันรู้ว่าวารินชอบฉันเพราะฉันหล่อ แต่เสียใจด้วยนะ ตอนนี้ฉันเจอเนื้อคู่แล้วล่ะ" "อะฮึ" รัศมีกระแอมอย่างตกใจ "เขาเป็นผู้หญิงคนแรกที่ฉันมีอะไรด้วย และฉันก็เป็นผู้ชายคนแรกของเขาเหมือนกัน แต่ว่าเขาไม่เคยเรียกร้องอะไรจากฉันเลย เขาเป็นคนดีนะ วารินว่ามั้ย ถึงจะดุไปนิดทอมๆ ไปหน่อยก็เหอะเสียดายที่ฉันปากหนักไปหน่อย ก็เลยไม่รู้จะบอกรักกับเขายังไง วารินช่วยไปบอกเขาแทนฉันหน่อยได้มั้ย บอกว่าคุณรัศมีครับ ผมรักคุณ" สายชลดึงมือรัศมีมากุมไว้ รัศมีดึงมือออก "นี่นาย ตกลงนายเห็นหรือไม่เห็นกันแน่" "เกือบๆ จะหายแล้วล่ะ" "อ๋อ ก็เลยอารมณ์ดี มาหลอกฉันเล่นสิท่า" "เปล่านะ ที่ฉันพูดไปเป็นความจริงทุกอย่าง" "ไม่เชื่อ" "ถ้างั้น ฉันขอสาบานว่า" "ไม่ต้องก็ได้ เชื่อแล้ว" รัศมีอุดปากสายชลไว้ สายชลยิ้ม ดึงมือรัศมีมากุมไว้ รัศมีพยายามดึงออกเขินๆ แต่สายชลไม่ยอมปล่อย เขียดขับรถพาขวัญวาริน นาวี และจ้อยออกมาที่ทางเปลี่ยวและบอกว่าเป็นทางลัด สุดท้ายก็บอกว่ารถเสีย ต้องเดินไปหาช่างก่อน ปล่อยให้ขวัญวารินกับนาวีเฝ้ารถด้วยกัน และขู่ๆ ว่าแถวนี้อาจดูน่ากลัวหน่อย เพราะได้ยินว่าผีดุ ก่อนจะมาซุ่มดูเหตุการณ์กับจ้อยที่พุ่มไม้ บนรถ นาวีกับขวัญวารินนั่งกระสับกระส่ายอยู่ด้วยกัน จะคุยกันก็ไม่กล้าเพราะมีเรื่องงอนกันอยู่ "ในนี้อึดอัดจัง พี่ออกไปสูดอากาศข้างนอกดีกว่า" นาวีเปิดประตูออกไปจากรถตู้ แต่พอหันไปดูที่โคนต้นไม้ก็เห็นว่าเป็นต้นโพธิ์ มีคนเอาซากศาลเจ้า ตุ๊กตาเสียกบาลมาทิ้งไว้เต็มไปหมดชวนสยดสยอง นาวีเปิดประตูรถกลับขึ้นไปนั่งตามเดิม เหงื่อแตกพลั่ก "อ้าวพี่ไม่ออกไปสูดอากาศแล้วเหรอ" "ข้างนอกหนาว อยู่ในนี้ดีกว่า" ฉับพลันนั้นไฟในรถก็ค่อยๆ หรี่ลง "พี่วี" "ไม่ต้องกลัววาริน สงสัยแบ๊ตเตอรี่คงใกล้หมดน่ะ" นาวีว่าแล้วอ้าปากค้างเมื่อเห็นผีคายาโกะผมยาวปิดหน้ามีแสงไฟเรืองๆ โผล่ที่หน้าต่างด้านหลังขวัญวาริน "เป็นอะไรเหรอพี่วี ทำไมนิ่งไปล่ะ" นาวีฝืนยิ้ม ก่อนจะหลับตาหันหน้าหนีมาอีกทาง "ไม่จริง ผีไม่มีตัวตน ผีไม่มีในโลกเราต้องคิดแบบวิทยาศาสตร์ ต้องไม่เชื่อเรื่องผี" ระหว่างนั้นวารินก็ชำเลืองมองไปนอกรถ เห็นน้าเขียดในชุดผีกำลังขยับวิกและผ้าคลุมคลานไปอีกทาง โดยมีไอ้จ้อยถือไฟฉายตามเป็นลูกมือ ขวัญวารินแอบกลั้นหัวเราะเริ่มเดาออกว่าแผนนี้มีเป้าหมายที่ใคร นาวีลืมตาเห็นผีตรงหน้าต่างรถฝั่งตนชัดเจน นาวีโดดไปนั่งตักขวัญวาริน ปากคอสั่น เธอถามว่าเขาเห็นอะไร "ผี!" ขวัญวารินทำหน้าตกใจ "พี่เห็นจริงๆ นะวาริน ตาพี่ไม่ได้ฝาดประสาทพี่ไม่ได้หลอนเห็นจะๆ สองรอบแน่ะ" "โถ กลัวมากสิท่า ตัวสั่นเชียว" นาวีนึกขึ้นได้ว่าเสียภาพลักษณ์ก็รีบวางฟอร์ม "เปล่าซะหน่อย พี่กลัวว่าวารินจะเสียขวัญก็เลยมากอดไว้นะ" นาวีขยับมานั่งข้างๆ ขวัญวาริน "ไม่เห็นต้องกลัวเลย ก็น้าเขียดเขาบอกแล้วไงว่าผีมันกลัวความรัก" "โธ่วาริน อย่าบ้าจี้ตามน้าเขียดเขาหน่อยเลย วารินคิดว่าทำมือแบบนี้แล้วผีมันจะไปงั้นเหรอ ไม่มีทาง" นาวีชูนิ้วภาษาใบ้ไอเลิฟยู "ไม่ใช่แบบนั้น พี่ไม่เคยดูหนังหรือไง ผีมันไม่เคยหลอกคนที่พลอดรักกันอยู่เลยนะ แบบกำลังกอดกันจูบกันแบบเนี้ย ส่วนมากจะรอด" "ก็ไม่ทุกรายหรอกมั้ง บางรายก็ไม่รอด" "แสดงว่ารักไม่มากพอ ไม่รักกันจริงว่างั้นเถอะ" "เหลวไหล เดี๋ยวพี่ไปเปิดวิทยุดีกว่าจะได้สร้างบรรยกาศ" นาวีขยับไปเปิดวิทยุ แต่แล้วก็เห็นผีโผล่มาที่หน้ารถอีก นาวีอ้าปากจะกรี๊ด แต่ตั้งสติได้ก็เอามืออุดปากแล้วถอยมานั่งข้างขวัญวาริน "ตะกี้เห็นรึเปล่า" ขวัญวารินยักไหล่ นาวีอึ้งไปนึกหาทางออกอะไรไม่ได้ก็เลยขยับมาโอบบ่าขวัญวารินเอาไว้ "พี่ทำอะไรอยู่เหรอ" "รักกัน" "แค่เนี้ย" นาวีพยักหน้าเหลือบมองไปเห็นผีโผล่วูบๆ ขึ้นๆ ลงๆ แถวหน้าต่างอีก ก็รีบหลับตากอดซุกกับบ่าขวัญวาริน "รักมากๆ รักจริงๆ รักสุดๆ รักจะตายอยู่แล้ว" "จริงอ่ะ" ขวัญวารินแอบขำ นาวีพยักหน้าแต่ไม่โงหัวขึ้นมาแล้ว เล่นเอาไอ้จ้อยกับน้าเขียดต้องหลบไปหัวเราะขำกันที่หลังรถ ไอ้จ้อยกลั้นเสียงไม่อยู่เผลอหัวเราะออกมาคำหนึ่ง นาวีเอะใจมองไปที่กระจกหน้ารถ แล้วเห็นเงาสะท้อนของจ้อยกับน้าเขียดที่หัวเราะกันอยู่ นาวีได้สติว่าอะไรเป็นอะไร รีบหันขวับมองขวัญวาริน เธอรีบส่ายหน้าว่าไม่รู้อะไรด้วย เสียงสตาร์ทรถดังขึ้น น้าเขียดกับไอ้จ้อยหยุดหัวเราะหันไปเห็นนาวีโผล่หน้ามาจากที่นั่งคนขับ "สนุกกันให้พอนะไอ้จ้อย น้าเขียด ไอ้ฉันมันคนกลัวผีขอกลับไปรอที่บ้านก่อนละกัน" "อ้าวเฮ้ยเดี๋ยว ไอ้วีรอด้วย" "พี่วี อย่าเล่นแบบนี้สิพี่ พี่วี" นาวีไม่สนใจออกรถจากไปเดี๋ยวนั้น "พี่วี จะทิ้งน้าเขียดกับจ้อยไว้แบบนี้จริงๆ เหรอ" "เล่นไม่รู้จักเล่น ต้องให้เจอดีซะบ้าง จะได้เข็ด" นาวีจูงขวัญวารินวิ่งมายิ้มขำๆ มาที่หน้าห้องนอน เหมือนเด็กๆ ที่เพิ่งวิ่งหนีอะไรมาด้วยกัน "คนอะไรไม่รู้ โตจนป่านนี้ยังกลัวผีอีก" "อย่าแซวน่า รีบไปนอนได้แล้วไป พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า" "ทั้งปี" ขวัญวารินเปิดประตูจะเข้าห้อง แต่แล้วก็หันมาถามอย่างนึกขึ้นได้ "พี่วี ตกลงพี่หายโกรธวารินแล้วใช่มั้ย" "พี่ก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าคุณพนิดาเขาพูดอะไรกับวาริน แต่พี่เริ่มแน่ใจแล้วล่ะว่าวารินไม่ได้อยากย้ายไปอยู่กับชาโดว์เรคคอร์ท" "แล้วพี่คิดว่าไงล่ะ" "พระท่านยังสอนเลยนี่ว่าอย่ายึดติด เราอยู่ส่วนเราเขาอยู่ส่วนเขา ช่างมันเถอะ" นาวีชะงักไปเมื่อมองไปในห้องนอนขวัญวาริน แล้วเจอช่อดอกไม้ที่เค้าทิ้งใส่ถังขยะปรากฏอยู่ที่นั่นนาวีเดินไปหยิบช่อดอกไม้นั้นมาดู เห็นว่าทุกก้านที่มีรอยหัก ขวัญวารินได้เอากระดาษกาวพันดามไว้อย่างทะนุถนอม เขาหันไปมองขวัญวารินอย่างแปลกใจ "ไม่ใช่ของวารินหรอก คนใจร้ายที่ไหนก็ไม่รู้เอาไปทิ้งไว้วารินเสียดายก็เลยเก็บมา" นาวีมองขวัญวารินอย่างนึกตื้นใจ ขวัญวารินพูดแก้เก้อต่อ "เกิดเป็นดอกไม้ทั้งทีเสียชาติเกิดเป็นบ้า อุตส่าห์จัดใส่ช่อ ยังโดนทิ้งอีก แย่เนอะ" นาวีถือช่อดอกไม้นั้นเดินกลับมาส่งให้ขวัญวารินรับไป "แปลว่าอะไรล่ะ" ขวัญวารินเขิน "ยังต้องให้พูดอีกเหรอ" "ก็ คนเขาอยากได้ยินนี่" "ได้ยินชัดแล้วใช่มั้ย" นาวีดึงมือขวัญวารินมาแนบที่หัวใจ ขวัญวารินส่ายหน้า ไม่รู้ไม่ชี้ นาวีตัดสินใจรวบตัวขวัญวารินมากอดไว้ในอ้อมอกของเขา "วาริน เรารู้จักกันแค่ไม่กี่เดือน แต่พี่รู้สึกเหมือนเคยอยู่ใกล้คุณมาทั้งชีวิต วารินรู้สึกเหมือนพี่รึเปล่า" แทนคำตอบขวัญวารินโอบกอดนาวีไว้ "เราเสียเวลาให้กับเรื่องของคนอื่น เรื่องของความไม่สมหวังมาพอแล้ว พี่ตั้งใจว่าต่อจากนี้ไป พี่จะไม่ยอมให้อะไรมาขวางหัวใจของพี่กับวารินได้อีก" ขวัญวารินพยักหน้า "แค่เนี้ย? ปล่อยให้คนอื่นพูดตั้งเยอะ" "น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง คำที่เขาอยากได้ยินตัวเองก็ไม่ได้พูดซะหน่อย" "เออ รัก" "แค่เนี้ย" "มากๆ" "เหมือนกัน มากมายเป็นสองเท่าเลยด้วย" นาวีกับขวัญวารินกอดกันอย่างมีความสุข จบตอน 10
logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ