กระดานความคิด / พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์
การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง
+++++++
แก้ปัญหาของชาติในยุคสงครามเย็นนั้นอย่างหนึ่ง
แก้ปัญหาของชาติในยุคหลังสงครามเย็นก็อีกอย่างหนึ่ง
ในยุคสงครามที่โลกแบ่งเป็น 2 ฝ่ายเผชิญหน้ากันและจะด้วยเหตุผลใดก็ตามที่ไทยเลือกอยู่ฝ่ายโลกเสรี ทำให้ต้องกลายเป็คู่ขัดแย้งกับฝ่ายสังคมนิยม และเมื่อบวกกับที่ตั้งที่มีความสำคัญในระดับยุทธศาสตร์ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทยจึงตกอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ของสงครามระหว่างลัทธิ
ด้วยเหตุนี้ การแก้ปัญหาของชาติในยุคนั้น กองทัพจึงกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่สามารถ "ชี้เป็นชี้ตาย" ต่อความเป็นไปทางการเมืองไทยอย่างไม่มีใครกล้าปฏิเสธ
หลังการสิ้นสุดลงของยุคสงครามเย็น เรามีการใช้กำลังกองทัพเข้าแก้ไขปัญหาการเมืองด้วยรูปแบบเดิมๆ-รัฐประหาร ที่เคยใช้ในยุคสงครามเย็น 2 ครั้งคราด้วยกัน ครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 และอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
ทั้ง 2 ครั้งเกิดจากปัญหา "ความไม่เรียบร้อยทางการเมือง" เหมือนกัน และได้รับการต้อนรับจากประชาชนอย่างอบอุ่นเช่นเดียวกัน ทหารเป็นที่รักอย่างยิ่งของประชาชนที่ออกมาขับไล่นักการเมืองที่ถูกมองว่าเลวร้ายทุจริตคอรัปชั่นทำลายชาติ และหวังว่าจะนำไปสู่ "การเมืองใหม่" ที่บริสุทธิ์สะอาด
รัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534 ลงท้ายด้วยเหตุจลาจลบนถนนราชดำเนินเมื่อเดือนพฤษภาคม 2535 และทหารทั้งกองทัพถูกรังเกียจเดียดฉันท์จากประชาชนอย่างรุนแรง ทั้งๆ ที่เวลาแห่งความชื่นชมเมื่อครั้งออกมายึดอำนาจนั้นเพิ่งผ่านพ้นไปเพียงปีเศษเท่านั้น และกว่าสังคมจะยอมรับบทบาทของกองทัพก็ต้องใช้ความพยายามและเวลาไม่น้อยเลย
และเหนือสิ่งอื่นใด ปัญหาทางการเมืองไม่ได้รับการแก้ไขเลย เคยเป็นมาอย่างไรก็เป็นต่อไปเช่นนั้น
รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แม้จะไม่จบลงด้วยการปะทะกันระหว่างทหารกับประชาชนเหมือนเหตุกาณ์พฤษภาคม 2535 แต่ผลที่ตามมากลับรุนแรงกว่า เพราะนำไปสู่การปะทะกันระหว่างประชาชนกับประชาชนด้วยกันเอง
เป็นความแตกแยกอย่างรุนแรงที่สุดแบบไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย
เกิดความเสียหายทั้งทรัพย์สินส่วนรวม ร่างกาย และจิตใจของผู้คนในสังคมอย่างประมาณค่ามิได้
และยังไม่มีท่าทีว่าจะผ่อนคลายลง เหตุการณ์ที่ผ่านมาคล้ายเป็นเพียง "สงครามย่อย" รอการระเบิดของ "สงครามใหญ่" ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่นานเป็น "สงครามกลางเมือง"
นำไปสู่คำถามซ้ำซากในทุกวงการสนทนาทุกวันนี้ "แล้วมันจะจบลงอย่างไร"
ถึงที่สุดแล้ว รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จึงให้ผลลัพธ์ที่ไม่แตกต่างจากรัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534 คือ
การเมืองยังคงไม่ได้รับการแก้ไข
ตลอดห้วงระยะเวลาแห่งวิกฤติการณ์ครั้งล่าสุด กองทัพถูกเรียกร้องจากหลายฝ่ายให้ออกมาแก้ปัญหาของชาติ ซึ่งไม่มีความหมายรูปธรรมอื่นใดเลยนอกจากการรัฐประหาร
แต่กองทัพยืนหยัดในหลักการ "การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง" ไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายใด แม้จะมีทั้งคำป้อยอสรรเสริญและกล่าวหายั่วยุว่า เลือกเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือแม้กระทั่งผู้บัญชาการทหารบกรับเงินจากอดีตนายกรัฐมนตรีถึง 50 ล้าน ฯลฯ ก็ตาม
แต่กองทัพก็ยังคงยืนหยัดในหลักการ "การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง"
เวลาข้างหน้ายังไม่มีใครกล้าฟันธงว่าบ้านเมืองจะสิ้นสุดภาวะวิกฤติลงได้อย่างไร ความขัดแย้งจะยังคงดำรงอยู่ ดังนั้นกองทัพจึงต้องหนักแน่นและยืนหยัดในหลักการนี้ต่อไป
การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง...
ข่าวที่เกี่ยวข้อง