วันนี้เมื่อ 4 ปีก่อน
************************
วันนี้ในอดีต มีเรื่องราวของราชวงศ์ในต่างแดนมาฝากตามโอกาสเช่นเคย คราวนี้เป็นเรื่องราวของ พระนาง ซัยยิดาฟาฏิมะฮ์ อัชชะรีฟ พระราชินีในพระเจ้าอิดริสที่ 1 แห่งลิเบีย
ทั้งนี้พระนางเป็นสมเด็จพระราชินีเพียงพระองค์เดียวของลิเบีย ก่อนการปฏิวัติโดยพันเอก มูอัมมาร์ กัดดาฟี ในปี 2512 ทั้งนี้พระองค์จึงเป็นสมเด็จพระราชินีองค์สุดท้ายในแอฟริกาเหนืออีกด้วย
อย่างไรก็ดี พระนางนับเป็นผู้ที่มีพระชนมายุยืนยาว เพราะวันนี้เมื่อ 4 ปีก่อน ตรงกับวันที่ 3 ตุลาคม 2552 พระนางได้สรรคต ณ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ สิริรวมพระชนมายุได้ 98 พรรษา!
กำเนิดที่ลิเบีย
ก่อนจะเป็นควีน ฟาฏิมะฮ์ อัชชะรีฟ พระราชสมภพในปี 2454 ที่โอเอซิสแห่งคูฟรา หรือ ประเทศลิเบียในปัจจุบัน
พระนางเป็นพระธิดาพระองค์เดียว ใน ซัยยิดอะฮ์มัด ชะรีฟ อัซซานูซี อดีตผู้นำทางศาสนาของราชวงศ์ซานูซี กับเคาะดีญะฮ์ บินต์ อะฮ์มัด อัลริฟี ภรรยาคนที่สอง
พระบิดาของพระนางได้ทำการต่อต้านกองกำลังของเหล่าอาณานิคม จนในปี 2472 พระองค์ได้รับคำสั่งให้หนีออกจากลิเบียไปยังเขตแดนอียิปต์โดยใช้อูฐ
ต่อมาในปี 2474 ฟาฏิมะฮ์ได้อภิเษกสมรส กับ พระเจ้าอิดริสที่ 1 แห่งลิเบีย ซึ่งเป็นพระประยูรญาติ และผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำราชวงศ์ต่อจากบิดาของพระองค์ พระราชพิธีอภิเษกสมรสจัดขึ้นที่เมืองซีวา
พระเจ้าอิดริสที่ 1 แห่งลิเบีย
แต่สิ่งที่น่าสะเทือนใจคือ หลังจากพระนางอุ้มพระครรภ์ 9 เดือน ในวัย 42 พรรษา ปี 2496 พระนางมีประสูติกาลพระบุตรพระองค์แรก แต่เพียงวันเดียวพระราชโอรสก็มาจากไป ซึ่งสิ้นพระชนม์เสียขณะที่มีอายุได้เพียง 1 วันเท่านั้น
แน่นอนเรื่องนี้คงไม่ต้องบรรยายความรู้สึก แต่ที่แน่ๆ หลังจากนั้นพระนางก็ไม่ทรงมีพระบุตรอีกเลย
พระราชินีเหนือเกล้า
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านั้น ในปี 2494 เมื่อพระเจ้าอีดริสเสด็จขึ้นครองราชย์ พระนางก็ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น “สมเด็จพระราชินีแห่งลิเบีย”
มีเรื่องเล่าว่า พระภาคิไนยคนหนึ่งของพระองค์ ได้ลอบสังหาร “อิบราฮิม เชลฮี” ที่ปรึกษาส่วนพระองค์ของพระราชสวามี เนื่องจากข่าวลือว่านายเชลฮีมั่นใจว่ากษัตริย์อิดริสจะทรงหย่ากับพระราชินี และกษัตริย์จะทรงสนพระทัยที่จะอภิเษกสมรสกับบุตรสาวของเขาแทน
หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวกษัตริย์อิดริสจึงดำเนินการลงโทษต่อพระภาคิไนยของสมเด็จพระราชินี
แต่ที่สุดกษัตริย์อิดริส ก็ทรงตัดสินพระทัยที่จะอภิเษกสมรสใหม่ เพราะมีพระราชประสงค์ที่จะมีองค์รัชทายาทไว้สืบทอดราชบัลลังก์
กาลนั้น สมเด็จพระราชินีเองก็ทรงหาสตรีให้กษัตริย์อิดริสเลือกไว้ 2 คน ไปถวายสำหรับอภิเษกสมรส แต่กษัตริย์อิดริสกลับทรงอภิเษกสมรสกับสตรีชั้นสูงชาวอียิปต์ชื่อ อาลียา อับเดล กอดีร์ ลัมลุม โดยอภิเษกสมรสกันในปี 2498
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น สมเด็จพระราชินีฟาฏิมะฮ์ก็ยังรักษาสถานภาพของการเป็นสมเด็จพระราชินี และมิได้หย่าร้างหรือถูกขับออกจากพระราชวังโตบรุก
นอกจากนี้ต่อมาพระราชสวามียังทรงมีพระชายาอีกถึง 2 พระองค์ คือ อะอิชะห์ อัลชารีฟ และ นาฟิซะห์ อัลกอซิม และมี พระราชบุตรรวม 6 พระองค์ แบ่งเป็นพระโอรส 5 พระองค์ และ พระธิดา 1 พระองค์
แต่ทั้งสองพระองค์ ราชาและราชินียังรับอุปการะเหล่าโอรส-ธิดาของพระประยูรญาติหลายพระองค์ รวมทั้งสุไลมา เด็กหญิงชาวแอลจีเรียที่บิดาของเธอเสียชีวิตจากการต่อสู้กับฝรั่งเศสอีกด้วย
ว่ากันว่า สมเด็จพระราชินีมีพระอารมณ์ขัน ปฏิภาณไหวพริบ และพระปรีชาสามารถที่จะทำให้ผู้อื่นผ่อนคลาย พระองค์จึงกลายเป็นแบบอย่างที่ดีของสตรียุคใหม่ชาวลิเบีย
ด้วยบทบาทพระราชินีของพระองค์ขณะที่ยังทรงดำรงตำแหน่งพระราชินี พระองค์ปราศจากเครื่องทรงฮิญาบแต่ทรงมีบทบาทในการเข้าร่วมพระกรณียกิจกับสาธารณะอย่างสม่ำเสมอ
การเมืองเปลี่ยนชีวิต
ที่สุด ลิเบียเกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2512 พระองค์และพระสวามี จึงลี้ภัยไปประทับอยู่ในประเทศตุรกี
ต่อมาทั้งสองพระองค์ได้ย้ายไปพำนักอยู่ในบ้านพักแห่งหนึ่ง ในกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ภายใต้การคุ้มครองของ “ญะมาล อับดุนนาศิร” ผู้นำอียิปต์ในขณะนั้น ว่ากันว่าในพระตำหนักมีราชองครักษ์มากมาย โดยทั้งสองพระองค์จะมีรายได้ 10,000 ปอนด์อียิปต์ต่อปี
พระนางในปี 2538
แต่กระนั้นก็ดี ระหว่างนั้น พระนางได้ได้พยายามขึ้นฟ้องต่อศาลประชาชนของลิเบีย ในเดือนพฤศจิกายน 2514 แต่กลับถูกพิพากษาให้ถูกจำคุก 5 ปี แถมทรัพย์สมบัติของพระองค์ก็ถูกยึดเป็นของรัฐ ระหว่างนั้นราวปี 2526 พระราชสวามีก็ทรงสวรรคตจากไป
หากต่อมาภายหลังได้มีการส่งมอบพระตำหนักส่วนพระองค์ในกรุงตรีโปลีคืนในปี 2550 เพียงแต่ 2 ปีหลังจากนั้น อดีตสมเด็จพระราชินีฟาฏิมะฮ์ก็ได้เสด็จสวรรคต จากไป เมื่อพระชนมายุได้ 98 พรรษา เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2552
แต่ไม่ใช่ที่พระตำหนักส่วนพระองค์อันเป็นที่รัก หากเป็นที่กรุง ไคโร ประเทศอียิปต์ ดินแดนลี้ภัย และแม้แต่พระศพ ก็ยังถูกฝังไว้ที่สุสานฮัมซะฮ์อัลมะดีนะฮ์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย และยังเป็นคนละที่กับพระราชสวามีที่ทรงถูกฝังไว้ที่ สุสาน อัล-บากียะห์เมดีนา ซาอุดีอาระเบีย
ควีนองค์สุดท้าย
ในส่วนที่กล่าวว่าพระนางเป็นราชินีพระองค์สุดท้ายแห่งทวีปแอฟริกาเหนือนั้น เหตุเพราะ ประเทศลิเบียเป็นประเทศสุดท้ายในทวีปแอฟริกาเหนือที่เปลี่ยนการปกครองระบอบกษัตริย์ไปเป็นอย่างอื่น
สำหรับประเทศในแอฟริกาเหนือนั้น ประกอบด้วย แอลจีเรีย, อียิปต์, ลิเบีย, ซูดาน, ตูนิเซีย มอริเตเนีย ส่วนประเทศที่มีการปกครองระบอบกษัตริย์ และมีการเปลี่ยนแปลง มีดังนี้
1. อียิปต์นั้น มีกษัตริย์องค์สุดท้าย คือ พระเจ้าฟูอัดที่ 2 ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์แห่งอียิปต์และซูดาน แต่แล้วในปี 2495 พระองค์ก็ทรงสละราชสมบัติเนื่องจากการปฏิวัติอียิปต์ และการล่มสลายของราชอาณาจักร และจัดตั้งเป็นสาธารณรัฐ
2. ซูดาน มี สุลต่านอาลี ดินาร์ สุลต่านแห่งดาร์ฟูร์ ปกครอง ภายหลังสวรรคตในสงครามการถูกผนวกโดยอียิปต์ ในปี 2459
3. ตูนิเซีย มีกษัตริย์องค์สุดท้าย คือ พระเจ้ามูฮัมหมัดที่ 8 อัล-อามิน กษัตริย์แห่งตูนิเซีย ภายหลัง สละราชสมบัติเนื่องจากการรัฐประหารโดย ฮาบิบ บัวร์กุยบา และทำการจัดตั้งสาธารณรัฐ ในปี 2505
และ 4. ลิเบีย ที่เพิ่งจบสิ้นระบอบกษัตริย์ในปี 2512 ดังที่กล่าวไปข้างต้น ทั้งนี้เกิดจาการการล้มล้างราชอาณาจักรโดย พันเอก มูฮัมมาร์ กัดดาฟี ผู้ซึ่งภายหลังก็ถูกสังหารโดยกลุ่มต่อต้าน เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2554 หลังครองอำนาจนานถึง 42 ปี
พันเอก มูฮัมมาร์ กัดดาฟี
***************************
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
-7 แหล่งเรียนรู้ในราชวงศ์จักรี
-18 มิ.ย.2496 ปลด!ยุวกษัตริย์อียิปต์ หลังครองราชย์ 324 วัน
-จากเจ้าชายสุภาพบุรุษสู่จักรพรรดิผู้มุ่งมั่น
-อาร์ชี่จะไม่มีฐานันดรเท่าเจ้าชายจอร์จ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง