ลิเวอร์พูล จ่อที่จะคว้าแชมป์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเป็นสมัยแรกของสโมสรเต็มที
หลังรั้งตำแหน่งจ่าฝูงของลีกด้วยการมี 82 คะแนนจากการลงสนาม 29 นัด นำห่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี ทีมรองจ่าฝูงถึง 25 แต้ม
โดย "หงส์แดง" ต้องการชัยชนะอีกเพียง 2 เกมก็จะการันตีการคว้าแชมป์ทันที อย่างไรก็ตามจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก ส่งผลให้ลีกสูงสุดแดนผู้ดีต้องระงับการแข่งขันไปจนถึง 30 เม.ย.เป็นอย่างน้อย
สำหรับ ลิเวอร์พูล มีพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังจากที่ เจอร์เกน คลอปป์ เข้ามารับหน้าที่เป้นกุนซือเมื่อปี 2015 ซึ่งขณะนี้เทรนเนอร์ชาวเยอรมันพาทีมกวาดแชมป์ไปแล้ว 3 รายการ ประกอบด้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ
อย่างไรก็ตามกว่าจะมาถึงจุดนี้ ลิเวอร์พูล ในยุคของ คลอปป์ ต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก โดยเฉพาะในลีกที่ช่วงแรกพวกเขาทำผลงานได้ไม่ดีนัก
ทำให้ล่าสุด "เดอะ มิรเรอร์" สื่อดังของอังกฤษ ได้รวบรวม 5 ความพ่ายแพ้แรกในลีกของ ลิเวอร์พูล ในยุคของ คลอปป์
ลิเวอร์พูล 1-2 คริสตัล พาเลซ (พ.ย. 2015)
โดย คริสตัล พาเลซ มักจะมีสถิติที่ดีเวลาเล่นกับ ลิเวอร์พูล ที่สนาม แอนฟิลด์ และเป็นทีมล่าสุดที่บุกชนะ "หงส์แดง" ที่ แอนฟิลด์ ได้ตั้งแต่ช่วง 2 ปีก่อน
สำหรับเกมดังกล่าว "ปราสาทเรือนแก้ว" เป็นฝ่ายออกนำไปก่อนจาก ยานนิค โบลาซี นาที 21 ทว่า ลิเวอร์พูล ก็มาตามตีเสมอได้จาก ฟิลิปเป คูตินโญ นาที 42
อย่างไรก็ตามในนาทีที่ 82 สกอตต์ แดนน์ มาทำประตูชัยให้ พาเลซ บุกเก็บชัยเหนือย ลิเวอร์พูล ได้แบบผิดคาด 1-2 และเป็นความพ่ายแพ้เกมแรกในลีกของ ลิเวอร์พูล ในยุค คลอปป์ อีกด้วย
"มันเป็นเกมที่เราไม่สมควรแพ้" คลอปป์ กล่าวถึงเกมนี้
ทั้งนี้นักเตะที่ได้ลงสนามในเกมนี้ และยังอยู่ในชุดปัจจุบันมีเพียง อดัม ลัลลานา เพียงคนเดียวเท่านั้น
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด 2-0 ลิเวอร์พูล (ธ.ค. 2015)
โดยในฤดูกาลนั้น นิวคาสเซิล ภายใต้การคุมทีมของ สตีฟ แมคคลาเรน ชนะในลีกแค่เพียง 9 นัด ซึ่ง 1 ใน 9 นัด นั้นคือการเอาชนะ ลิเวอร์พูล ได้
"สาลิกาดง" ใน 2 ประตูจากการทำเข้าประตูตัวเองของ มาร์ติน สเคอร์เทล นาที 69 และ จอร์จินโย ไวจ์นัลดุม นาที 90+3
และในอีก 6 เดือนต่อมา คลอปป์ ก็เซ็นสัญญา ไวจ์นัลดุม มาเสริมทัพ และเจ้าตัวก็กลายมาเป็นกำลังสำคัญให้ทีมมาจนถึงปัจจุบัน
วัตฟอร์ด 3-0 ลิเวอร์พูล (ธ.ค. 2015)
วัตฟอร์ด ถือเป็นอีกหนึ่งทีมที่สร้างความเจ็บปวดให้กับ ลิเวอร์พูล ได้เสมอ โดยเฉพาะเวลาได้เล่นในถิ่น วิคาเลจ โรด
โดยในเกมดังกล่าว นาธาน อาเก ยิงขึ้นนำให้กับ "แตนอาละวาด" ก่อน โอเดียน อิกาโล ที่ปัจจุบันค้าแข้งกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยสัญญายืมตัว จะมาเหมาคนเดียว 2 ประตูช่วยให้ทีมเก็บ 3 แต้ม และส่งผลให้ ลิเวอร์พูล ใน
ขณะนั้นมีแต้มตามหลัง เลสเตอร์ ซิตี จ่าฝูงถึง 14 แต้ม ทั้งๆที่ผ่านไปเพียง 14 เกมในฤดูกาลเท่านั้น
และภาพหลอนดังกล่าวก็กลับมาหา ลิเวอร์พูล อีกครั้ง เพราะเมื่อต้นเดือน มี.ค. "หงส์แดง" ก็บุกพ่าย วัตฟอร์ด ด้วยสกอร์เดียวกัน พร้อมเป็นการหยุดสถิติไร้พ่ายในซีซั่นนี้ลง
เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 2-0 ลิเวอร์พูล (ม.ค. 2016)
"หงส์แดง" ในช่วงแรกยังมีฟอร์มสม่ำเสมอ และพวกเขาก็ต้องพ่ายแพ้อีกครั้งให้กับ เวสต์แฮม ที่สนาม ลอนดอน สเตเดี้ยม โดย มิคาอิล อันโตนิโอ เป็นฝ่ายยิงให้ "ขุนค้อน" ออกนำก่อนนาทีที่ 10
และ แอนดี แคร์โรลล์ อดีตกองหน้าของ ลิเวอร์พูล เองก็มายิงย้ำชัยในนาที 55 ให้ เวสต์แฮม เก็บ 3 คะแนน
ลิเวอร์พูล 0-1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (ม.ค. 2016)
แน่นอนว่าเกม "แดงเดือด" ถือเป็นเกมที่แฟนๆ "เดอะ ค็อป" ตั้งความหวังไว้มาก โดยเฉพาะเวลาที่ได้เล่นใน แอนฟิลด์ ซึ่งเกมดังกล่าว ลิเวอร์พูล ก็ปูพรมบุกใส่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างหนัก เพื่อหวังเก็บชัยชนะให้ได้ และรักษาพื้นที่ในการไปเล่นฟุตบอลยุโรปในฤดูกาลหน้า
อย่างไรก็ตามพวกเขากลับโดนทีเด็ดจาก เวย์น รูนีย์ ที่มาซัดประตูชัยในนาที 78 ส่งผลให้ "ปีศาจแดง" บุกมาเก็บ 3 คะแนนสำคัญ
ทั้งนี้ในฤดูกาลดังกล่าว ลิเวอร์พูล จบในอันดับ 8 ของตาราง ไม่ได้ไปเล่นในฟุตบอลยุโรป
หลังจากซีซั่นนั้น ลิเวอร์พูล ก็พัฒนาตัวเองขึ้นมาอย่างมากโดยเฉพาะในลีก ด้วยการจบในอันดับ 4, อันดับ 4, อันดับ 2 และจ่อจะคว้าแชมป์ลีกในฤดูกาลนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง