ปิดฉากไปเรียบร้อยสำหรับศึกอเมริกันฟุตบอล เอ็นเอฟแอล นัดชิงชนะเลิศ ประจำปี 2020
หรือที่รู้จักกันในนาม “ซูเปอร์โบวล์ ครั้งที่ 54” ที่สนาม ฮาร์ดร็อค สเตเดี้ยม ไมอามี่ การ์เดนส์ รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นการดวลกันของ ซานฟรานซิสโก โฟร์ตีไนเนอร์ส แชมป์ เอ็นเอฟซี พบกับ แคนซัส ซิตี ชีฟส์ แชมป์เอเอฟซี
ผลปรากฏว่า ชีฟส์ เป็นฝ่ายเร่งเครื่องในช่วงควอเตอร์สุดท้ายหลังทำไปถึง 3 ทัชดาวน์กับ 20 แต้ม เอาชนะไป 31-20 พาทีมหยิบแชมป์ซูเปอร์โบวล์มาครองเป็นสมัยสองประวัติศาสตร์ หลัง “หัวหน้าเผ่า” เคยเป็นแชมป์ซูเปอร์โบวล์ ครั้งที่ 4 เมื่อปี 1969 หรือ 50 ปีก่อน สมัยที่ยังเป็น เอเอฟแอล ลีก
โดยถึงแม้การแข่งขันจะจบลงอย่างสมบูรณ์ถึงกระนั้นมีประเด็นมากมายซึ่งควรได้รับการพูดถึงไม่ว่าจะเป็น เรื่องในสนาม, สถิติที่น่าสนใจต่างๆ รวมถึงสีสันที่เกิดขึ้นในซูเปอร์โบวล์ 2020
ซูเปอร์โบวล์สมัยสองของ ‘ชีฟส์’
แน่นอนว่าการเข้าชิงซูเปอร์โบวล์ของ ชีฟส์ ในครั้งนี้มีความหมายกับทุกคนในทีมเป็นอย่างยิ่ง หลังครั้งล่าสุดที่พวกเขาเคยหยิบแชมป์มาครองคือเมื่อ 50 ปีที่แล้ว
"หัวหน้าเผ่า" เคยเข้าชิงซูเปอร์โบวล์มาแล้ว 2 ครั้งก่อนปีนี้ และสามารถคว้าแชมป์ได้ 1 สมัย ด้วยการปราบ มินเนโซตา ไวกิงส์ 23-7 คะแนน ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายในยุคโบราณของเอ็นเอฟแอล
สำหรับ ชีฟส์ เข้าสู่รอบซูเปอร์โบวล์ หลังในฤดูกาลปกติพวกเขามีสถิติชนะ 12 แพ้ 4 เกม ก่อนเอาชนะ ฮูสตัน เท็กแซนส์ ในรอบดิวิชันนอล 51-31 และปราบ เทนเนสซี ไททันส์ ในรอบชิงแชมป์สาย 35-24
โดยก่อนเกมซูเปอร์โบวล์ ครั้งที่ 54 จะเริ่มต้นขึ้นบรรดาสื่อดังได้คาดการณ์ว่าคู่นี้จะเป็นการแข่งขันที่สูสีอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นการสู้กันของทีมเกมรุก นั่นก็คือ ชีฟส์ กับทีมเกมรับ นั่นก็คือ โฟร์ตีไนเนอร์ส
และ โฟร์ตีไนเนอร์ส ทำได้ดีอย่างยิ่งในแมตช์นี้ หลังพวกเขาสามารถปิดเกมรุกที่ดุดันของ ชีฟส์ ได้อย่างอยู่หมัดในช่วง 3 ควอเตอร์แรก พร้อมเปิดเกมวิ่งสวนทำให้ออกนำไป 20-10 คะแนน ซึ่งทำให้พวกเขามีสิทธิ์คว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์ สมัยที่ 6 ของทีมต่อจากปี 1981, 1984, 1988, 1989 และ 1994 สูง
อย่างไรก็ตามด้วยกึ๋นของ แอนดี รีด เฮดโค้ชจอมเก๋าของ ชีฟส์ ที่แก้เกมมาในช่วงควอเตอร์สุดท้ายจนเกิดจุดเปลี่ยนหลัง พาทริค มาโฮมส์ ควอเตอร์แบ็กอนาคตไกลของ ชีฟส์ ปาบอลให้ ทราวิส เคลซี รับทัชดาวน์ ไล่มาเป็น 20-17 และจากนั้น “หัวหน้าเผ่า" ก็ได้อีก 2 ทัชดาวน์จาก เดเมียน วิลเลียมส์ ที่วิ่งระยะ 5 และ38 หลาในช่วง 3 นาทีสุดท้าย ส่งผลให้ปิดเกมด้วยสกอร์ 31-20
จากผลการแข่งขันที่เกิดขึ้นทำให้ ชีฟส์ ผงาดซิวแชมป์ซูเปอร์โบวล์ สมัยที่ 2 ในประวัติศาสตร์ทีม พร้อมเป็นแชมป์ครั้งแรกในรอบ 50 ปีไปครองอย่างสมศักดิ์ศรี ขณะที่ โฟร์ตีไนเนอร์ส ยังต้องรอแชมป์ วินซ์ ลอมบาร์ดี โทรฟี สมัยที่ 6 ต่อไป
สีสันที่เกิดขึ้น
ไฮไลท์สำคัญนอกจากการแข่งขันในสนามแล้ว นั่นก็คือ การแสดงในช่วงพักครึ่งซึ่งในปีนี้ได้ เจนนิเฟอร์ โลเปซ และชากิรา 2 ซูเปอร์สตาร์หญิงระดับโลกมาจับมือกันสร้างโชว์
ทั้ง เจนนิเฟอร์ โลเปซ และชากิรา ต่างแสดงเพลงฮิตของตัวเองตลอด 12 นาทีเต็มไม่ว่าจะเป็น ฮัสเลอร์ส, ออน เดอะ ฟลอร์, ชี วูล์ฟ, ฮิปส ดอนท์ ไลน์ เป็นต้น รวมถึงทั้งคู่ยังมีการจับมือกันแสดงในเพลง “ไอ ไลค์ อิท ไลค์ แดท” ในช่วงท้าย
นอกจากนั้นในการแสดงช่วงพักครึ่งของซูเปอร์โบวล์ปีนี้ ยังมีการฉายคลิปวีดีโอเพื่อุทิศให้กับ โคบี ไบรอันต์ อดีตนักบาสเก็ตบอลระดับตำนานที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวตกเมื่อช่วงปลายเดือนมกราคม
ขณะที่อีกหนึ่งจุดสนใจสำหรับการแข่งขันซูเปอร์โบวล์ นั่นก็คือ “การโฆษณา” ที่เหล่าบรรดาแบรนด์ชั้นนำระดับโลกต่างต้องการแย่งเวลาในช่วงพักการแข่งขันดังกล่าวเพื่อโปรโมทสินค้าของตัวเอง ซึ่งในปีนี้มีมูลค่าถึง 5.6 ล้านดอลลาร์ (ราว) ต่อ 30 วินาที นับว่าแพงที่สุดเป็นประวัติการณ์
แม้จะมีมูลค่าสูงแต่ก็มีหลายแบรนด์ยอมลงทุน ไม่ว่าจะเป็น วอลมาร์ท, อเมซอน, ไทด์, โคคาโคลา และเทอร์โบ แทกซ์ เป็นต้น นอกจากนั้น โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐคนปัจจุบัน และไมเคิล บลูมเบิร์ก ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในสมัยหน้าของพรรคเดโมแครต ก็ได้ซื้อเวลาเพื่อประชาสัมพันธ์นโยบายหาเสียงของแต่ละฝ่ายอีกด้วย
สถิติที่น่าสนใจ
-คู่นี้เจอกันมา 14 ครั้ง ผลปรากฏว่าทั้ง โฟร์ตีนายเนอร์ส และชีฟส์ มีสถิติเท่ากันคือชนะทีมละ 7 ครั้ง
-โฟร์ตีนายเนอร์ส ได้แชมป์ซูเปอร์โบวล์จากการเข้าชิง 5 จาก 7 ครั้ง
-แอนดี รีดส์ เฮดโค้ชวัย 61 ปีของ ชีฟส์ เก็บชนะชนะนัดที่ 223 ในการอาชีพการคุมทีม พร้อมเป็นการคว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์ครั้งแรกของเจ้าตัว
-จำนวนผู้ชมที่เข้ามาในสนามในเกมนี้คือ 62,417 คน
-ไคล์ ชานาแฮน เฮดโค้ชของ โฟร์ตีนายเนอร์ส พลาดตามรอยคุณพ่อ ไมค์ ชานาแฮน ในการคุมทีมคว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์ หลังก่อนหน้านี้ฝ่ายหลังเคยคุมทัพ เดนเวอร์ บรองโกส์ ได้แชมป์ซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 32 กับ 33
ทั้งหมดที่กล่าวมาคือไฮไลท์สำคัญทั้งใน และนอกสนามของการแข่งขันซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 54 ซึ่งถือเป็นอีก 1 เกมประวัติศาสตร์ขอวงการเอ็นเอฟแอลที่จะได้รับการพูกถึงไปอีกนานอย่างแน่นอน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง