ข่าว

'หงส์'ปะทะ'เรือ'ซูเปอร์บิ๊กแมทช์พรีเมียร์ลีกสัปดาห์ที่ 12

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เชื่อว่าแฟนบอลหลายคนกำลังตั้งตารอศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดที่ 12 คืนนี้ (10 พ.ย.)

 

 

       เหตุมีเกมซูเปอร์บิ๊กแมตช์ของ 2 ทีมหัวตาราง นั่นก็คือ ลิเวอร์พูล ทีมจ่าฝูง ซึ่งจะเปิดสนาม แอนฟิลด์ รับการมาเยือนของ แมนเชสเตอร์ ซิตี ทีมอันดับ 4 ที่สนามแอนฟิลด์ ในวันที่ 10 พ.ย. เวลา : 23.30 น.

       สำหรับคู่นี้ถือว่าเป็นสุดยอดคู่แข่งกันมาตลอดในช่วงหลังโดยเฉพาะในซีซั่นก่อนซึ่งต้องมาวัดแชมป์กันในเกมสุดท้ายและเป็น “เรือใบสีฟ้า” ที่เป็นฝ่ายคว้าแชมป์ลีกสูงสุดแดนผู้ดีไปครองจากการมี 98 คะแนน เอาชนะ “หงส์แดง” ไปเพียง 1 คะแนนเท่านั้น

      อย่างไรก็ตามในฤดูกาลนี้สถานการณ์ของทั้ง 2 ทีมแตกต่างออกไป เนื่องจากผ่านไปเพียง 11 นัด ลิเวอร์พูล ทะยานนำ แมนเชสเตอร์ ซิตี ไปแล้ว 6 คะแนน ซึ่งหลายคนอาจมองว่านี่เป็นแค่ช่วงเริ่มซีซั่นทว่าใน 11 นัดดังกล่าว “หงส์แดง” เจอกับทีมท็อป 6 ไปแล้วถึง 4 นัดคือ อาร์เซนอล (ชนะ 3-1), เชลซี (ชนะ 1-1), แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (เสมอ 1-1) และทอตแนม ฮอทสเปอร์ (ชนะ 2-1) ขณะที่ “เรือใบสีฟ้า” เจอไปเพียงทีมเดียว คือ สเปอร์ส และทำได้แค่เสมอในบ้านตัวเองไป 2-2 ในบ้านตัวเอง จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะป้องกันแชมป์ลีกได้อีกสมัย

       ทำให้เกมนี้ถือว่าเป็นแมทช์สำคัญของทั้ง 2 ทีม เพราะ ลิเวอร์พูล ก็อยากเก็บชัยเพื่อทิ้งช่องว่างไปเป็น 9 คะแนน ขณะที่ถ้า แมนเชสเตอร์ ซิตี คว้า 3 แต้มมาครองได้ พวกเขาจะไล่มาเหลือ 3 คะแนนเท่านั้น และส่งผลต่อเรื่องความมั่นใจที่จะมีมากขึ้น

'หงส์'ปะทะ'เรือ'ซูเปอร์บิ๊กแมทช์พรีเมียร์ลีกสัปดาห์ที่ 12

 

 

จุดเปลี่ยนสำคัญของ “หงส์แดง”
      ลิเวอร์พูล ถือว่าออกสตาร์ทฤดูกาลได้อย่างยอดเยี่ยมในลีกด้วยสถิติชนะ 10 และเสมอ 1 จากการลงแข่งขัน 11 นัดทั้งๆที่พวกเขาไม่ได้มีการเสริมทัพผู้เล่นในระดับบิ๊กเนมเข้ามาแต่อย่างใด
      ทว่าสิ่งที่เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในฤดูกาลนี้คือการมีทีมเวิร์คที่ดีขึ้น และมีเด็ดขาดทั้งในเกมรุก และรับ โดยในส่วนของเกมรุกนั้น “หงส์แดง” มีสิ่งที่เรียกว่า “ความไม่ยอมแพ้” เพราะในหลายๆแมทช์ที่ผ่านมาพวกเขาน่าจะต้องพบกับผลเสมอ และความพ่ายแพ้ แต่สุดท้ายก็กลับมาเก็บ 3 คะแนนได้ ทั้งในเกมกับ เลสเตอร์ ซิตี ที่มาเฉือนเอาชนะในช่วงทดเจ็บ รวมถึงในเกมล่าสุดกับ แอสตัน วิลลา ที่ตามหลัง 0-1 จนถึงนาที 86 ทว่าจบเกมกลับมาเอาชนะ 2-1 ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติที่ดีของทีมที่จะเป็นแชมป์
       ขณะที่ในเกมรับแม้จะเสียประตูเกือบทุกเกม ถึงกระนั้น ลิเวอร์พูล มีความเขี้ยวมากขึ้น เพราะรู้จักการดึงจังหวะในช่วงท้ายเกมเพื่อรักษาสกอร์เอาไว้ ต่างจากเมื่อก่อนที่พวกเขามักจะโดนยิงแบบง่ายๆจากการเน้นเกมบุกเกินไป ส่งผลให้ทีมดังแห่งถิ่น แอนฟิลด์ ยืนระยะในตำแหน่งจ่าฝูงมาอย่างยาวนาน

'หงส์'ปะทะ'เรือ'ซูเปอร์บิ๊กแมทช์พรีเมียร์ลีกสัปดาห์ที่ 12
      โดยเกมนี้หาก ลิเวอร์พูล สามารถเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี ได้อีก จะทำให้ทิ้งห่างไปเป็น 9 คะแนน ซึ่งจะถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในด้านบวกของ “หงส์แดง” เพราะในซีซั่นที่แล้ว ลิเวอร์พูล เคยออกนำ แมนเชสเตอร์ ซิตี ไป 7 แต้ม ทว่าจากการพ่าย “เรือใบสีฟ้า” 1-2 ส่งผลให้เหลือ 4 คะแนน และกลายเป็นจุดหักเหที่ทำให้ลูกทีมของ เจอร์เกน คลอปป์ พลาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรก
       ส่วนความพร้อมในนัดนี้ ลิเวอร์พูล จะไม่มี โจเอล มาติป และเซอร์ดาน ชากิรี ที่มีอาการบาดเจ็บอยู่ ขณะที่ผู้เล่นรายอื่นไม่มีปัญหาแต่อย่างใด และพร้อมลงสนามทั้งหมด นำทัพโดย อลีสซง เบคเกอร์, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, ฟาบินโญ, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, โรแบร์โต ฟีร์มีโน, โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ และซาดิโอ มาเน

 

 

“เรือใบ”ที่ไม่เหมือนเดิม
      มาทางฝั่ง แมนเชสเตอร์ ซิตี ของเทรนเนอร์ เปป กวาร์ดิโอลา แม้จะมีการเสริมทีมมาหลายตำแหน่ง ทั้ง โรดรี กองกลางจาก แอตเลติโก มาดริด และเชา คันเซโล ฟูลแบ็ค ยูเวนตุส ถึงกระนั้นพวกเขากลับเจอปัญหาใหญ่ที่เรียกได้ว่าส่งผลเสียต่อ “เรือใบสีฟ้า” เป็นอย่างมาก นั่นก็คือ ปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บ โดยเฉพาะในตำแหน่งกองหลังตัวกลาง
โดยหลังจากที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี ปล่อยตัว แวงซองต์ กอมปานี ออกจากทีม ก็ไม่ได้มีตัวแทนของผู้เล่นในตำแหน่งดังกล่าวเข้ามาเพิ่มเนื่องจากงบประมาณที่จำกัด ทำให้พวกเขาเหลือเซ็นเตอร์ฮาล์ฟอาชีพ 3 ราย คือ อายเมอริก ลาปอร์กต์, จอห์น สโตนส์ และนิโคลัส โอตาเมนดี บวกกับ แฟร์นันดินโญ และโรดรี ซึ่งสามารถเล่นปราการหลังตัวกลางแบบจำเป็นได้

'หงส์'ปะทะ'เรือ'ซูเปอร์บิ๊กแมทช์พรีเมียร์ลีกสัปดาห์ที่ 12
      ถึงกระนั้น อายเมอริก ลาปอร์กต์ และจอห์น สโตนส์ 2 กองหลังตัวจริงกลับมาได้รับบาดเจ็บได้ช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกัน ทำให้ทีมแชมป์เก่าพรีเมียร์ลีกผลงานสะดุดแบบชัดเจน จากการพ่าย นอริช ซิตี และแพ้ วูล์ฟ์แฮมป์ตัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เฮดโค้ชชาวสแปนิชคาดหวังไว้อย่างแน่นอน
       อย่างไรก็ตามในช่วงหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี มีผลงานที่กระเตื้องขึ้น เหตุ จอห์น สโตนส์ ฟิตกลับมาช่วยทีมได้อีกครั้ง และชนะในลีก 3 นัดรวด จนขณะนี้มี 25 คะแนนจาก 11 เกม ทำให้ผลการแข่งขันในเกมนี้ถือว่าสำคัญกับ “เรือใบสีฟ้า” อย่างยิ่ง เพราะถ้า 3 คะแนนมาอยู่ที่พวกเขาเชื่อว่าโมเมนตัมในการลุ้นแชมป์จะกลับมาอยู่ที่ทีมดังแห่งถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม ทันทีด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมา
       ขณะที่ในเกมนี้ เปป มีปัญหาเรื่องการจัดทัพเป็นอย่างมากหลังมีแข้งเดี้ยงหลายราย ​ไม่ว่าจะเป็น โอเลกซานเดอร์ ซินเชนโก, อายเมอริก ลาปอร์กต์, โรดรี, เลรอย ซาเน และดาบิด ซิลบา ที่มีอาการบาดเจ็บทั้งหมด รวมถึงต้องเช็กความฟิตของ เอแดร์ซอน โมราเอส ผู้รักษาประตูมือ 1 ที่เพิ่งเจ็บมาจากเกมยูซีแอล กลางสัปดาห์ อีกด้วย
       ส่วนที่คีย์แมนรายอื่นๆพร้อมลงประจำการ ไม่ว่าจะเป็น จอห์น สโตนส์, ไคล์ วอล์คเกอร์, แฟร์นันดินโญ, เควิน เดอ บรอยน์, ราฮีม สเตอร์ลิง และเซร์คิโอ อเกวโร 

11 ผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม
ลิเวอร์พูล (4-3-3) : อลีสซง เบคเกอร์ - เทรนต์ อเลกซานเดอร์-อาร์โนลด์, เดยัน ลอฟเรน, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน - ฟาบินโญ, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, จอร์จินิโอ ไวนัลดุม - โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน, โรแบร์โต ฟีร์มีโน
แมนเชสเตอร์ ซิตี (4-3-3) : เคลาดิโอ บราโว - ไคล์ วอล์คเกอร์, นิโคลัส โอตาเมนดี, จอห์น สโตนส์, เบนฌาแมง เมนดี - แฟร์นันดินโญ, เควิน เดอ บรอยน์, อิลกาย กุนโดกัน - แบร์นาโด ซิลวา, ราฮีม สเตอร์ลิง, เซร์คิโอ อเกวโร
โดยถึงแม้ว่าสถิติที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล จะเป็นฝ่ายทำได้ดีกว่าจากการชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี ได้ถึง 104 เกมจาก 213

       นัดที่ทั้งคู่พบกันรวมทุกรายการ ทว่าใน 3 เกมหลังสุด “เรือใบสีฟ้า” ไม่แพ้ “หงส์แดง” เลย และชนะได้ถึง 2 เกม ทำให้เชื่อว่าสถิติต่างๆไม่มีผลอย่างใดกับคู่นี้ แต่เป็นเรื่องของแท็คติก และการต่อสู้ของผู้เล่นในสนามที่จะตัดสินว่าทีมใดจะได้ 3 แต้มสุดล้ำค่าจากนัดนี้ไปครอง

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ