ข่าว

เมื่อ'วีเออาร์'สวมบทฮีโร่นัดแดงเดือด

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

จบลงไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับเกมแดงเดือดแห่งศักดิ์ศรีระหว่าง "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล โดยลงเอยด้วยผลแบ่งแต้มกันไปอย่างที่ทราบดี

 

 

อย่างไรก็ตามหลังเกมก็มีประเด็นที่น่าสนใจไม่น้อยโดยเฉพาะกับการทำหน้าที่ของตุลาการในสนาม

 

 

มาร์ติน แอตกินสัน

 

องค์กรผู้ตัดสินแมทช์เกมอาชีพ (พีจีเอ็มโอแอล) เผยสาเหตุวีเออาร์

 

ไม่ตัดสินจังหวะเข้าปะทะกันของวิคตอร์ ลินเดอเลิฟ กองหลังแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ ดิวอค โอริกี กองหน้าลิเวอร์พูล

 

จนนำมาซึ่งจังหวะต่อเนื่องเป็นประตูขึ้นนำของ “ปีศาจแดง” เพราะ มาร์ติน แอตกินสัน ผู้ตัดสินในสนามวินิจฉัยแล้วว่าไม่ใช่จังการทำฟาวล์

 

ขณะเดียวกันทีมงานวีเออาร์ ก็ไม่ได้มองว่า แอตกินสัน ตัดสินผิดพลาดแบบรุนแรง หลังจากจังหวะดังกล่าวเป็นประเด็นร้อนในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดที่ “ปีศาจแดง” เปิดรังโอลด์ แทรฟฟอร์ด เสมอ “หงส์แดง” 1-1 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม ที่ผ่านมา

 

 

"ประการแรกผู้ตัดสินในสนามไม่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ผิดพลาด วีเออาร์ ได้ตรวจสอบและตัดสินว่ามันไม่ใช่ข้อผิดพลาดที่ชัดเจน และชัดเจนที่จะไม่ให้รางวัลการทำผิดกติกา พีจีเอ็มโอแอล อธิบายกับสกายสปอร์ต สถานีกีฬาชื่อดังของอังกฤษ

 

เมื่อ'วีเออาร์'สวมบทฮีโร่นัดแดงเดือด

 

 

“ประการที่สอง วีเออาร์ ไม่ใช่ผู้ตัดสินในสนาม มีการติดต่อมาทางเราก็จริง แต่วีเออาร์ ก็คิดว่ามันไม่มีเหตุผลมากพอที่จะริบประตูในจังหวะนี้”

 

กฎระบุเอาไว้ว่า “วีเออาร์” จะทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ช่วยของผู้ตัดสิน และจะเข้ามาแทรกแซงการตัดสินของกรรมการเฉพาะจังหวะที่ทีมงานวีเออาร์ มองว่าเป็นความผิดพลาดขั้นร้ายแรง

 

ดังนั้นเมื่อ แอตกินสัน บอกว่าเขาเห็นจังหวะนั้นแบบชัดเจนและมองว่า ลินเดอเลิฟ ไม่ได้ทำผิดหนักจนถึงขั้นควรจะเป็นการฟาวล์ตั้งแต่แรก ทีมงานวีเออาร์ ก็พิจารณาคำตัดสินของเขาทันทีและมองว่าผู้ตัดสินไม่ได้ตัดสินพลาดมากพอที่จะกลับคำตัดสินได้

 

อย่างไรก็ตามไม่ว่า แอตกินสัน จะตัดสินถูกต้องหือไม่การตัดสินใจของเขาในแมทช์ดังกล่าวก็ได้กลายมาเป็นประเด็นข้อถกเถียงในวงกว้างอย่างเลี่ยงไม่ได้

 

“โอริกี โดนเข้าปะทะชัดเจนในจังหวะเสี้ยววินาทีนั้นเรารู้ว่าเป็นการฟาวล์ชัดเจน แต่ขณะเดียวกันคู่ต่อสู้ก็สบโอกาสเล่นงานเรา”

 

 

เมื่อ'วีเออาร์'สวมบทฮีโร่นัดแดงเดือด

 

 

เมื่อ'วีเออาร์'สวมบทฮีโร่นัดแดงเดือด

 

 

“ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่มองว่าจัวหวะดังกล่าวเป็นการทำฟาวล์ชัดเจนเช่นกัน ส่วนตัวผมเองก็มั่นใจแบบนั้น แต่ มาร์ติน แอตกินสัน กลับปล่อยให้เกมดำเนินต่อ เพราะเขาอาจจะคิดว่า วีเออาร์จะช่วยยืนยันอีกที จากนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ได้ประตูขึ้นนำ แล้ววีเอออาร์ ก็ตัดสินแบบไม่เคลียร์ เหมือนกับว่าพวกเขาจะไม่เปลี่ยนคำตัดสินหรอก เพราะผู้ตัดสินในสนามตัดสินใจไปแล้ว เห็นได้ชัดว่านี่คือปัญหา ถ้าไม่มีเทคโนโลยีนี้ ผมมั่นใจว่า แอตกินสัน จะต้องเป่าฟาวล์แน่นอน”

 

“โอเค วีเออาร์ เป็นเรื่องที่ดีสำหรับการเป่าฟาวล์จังหวะล้ำหน้าหรือแฮนด์บอล แต่จังหวะแบบนี้กลับทำได้ไม่ชัดเจนเอาเสียเลย” เจอร์เกน คลอปป์ ร่ายยาวถึงจังหวะดังกล่าว โดยยังคงตำหนิการทำหน้าที่ของเทคโนโลยีช่วยตัดสินที่ดูคลุมเครือและไม่ชัดเจน

 

 

เมื่อ'วีเออาร์'สวมบทฮีโร่นัดแดงเดือด

 

 

อย่างไรก็ตามทัศนะทางฝั่ง โอเล กุนนาร์ โซลชา ผู้จัดการทีมแมนฯ ยูไนเต็ด สวนทางกับสิ่งที่นายใหญ่หงส์แดง ออกความเห็นมาอย่างสิ้นเชิง

 

"ผมคิดว่าผู้ตัดสินควรได้รับคำชม ไม่บ่อยหรอกที่เราจะทำแบบนั้น แต่เขาทำให้มันเป็นเกมดาร์บีแมทช์ ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่สามารถสัมผัสใครได้เลย”

 

“ถามว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ควรได้ประตูในจังหวะนั้น มันไม่ใช่การฟาวล์ รอย คีน ก็คงไม่คิดว่าเป็นจังหวะฟาวล์ ตอนนี้เราอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง แต่เรายังต้องพัฒนาขึ้นอีก โดยเฉพาะฟอร์มการเล่นในเกมเยือน”

 

ส่วนประตูที่โดนลิเวอร์พูลตีเสมอ โซลชาร์ กล่าวว่า “เป็นการเสียประตูที่ง่าย การเสียประตูจากลูกเปิดในกรอบ 6 หลา เป็นอะไรที่น่าผิดหวัง”

 

 

เมื่อ'วีเออาร์'สวมบทฮีโร่นัดแดงเดือด

 

 

 

 

ด้านบีบีซี สื่ออังกฤษ พาดหัวเชิงยั่วล้อประมาณผู้ตัดสินเกมนี้คือ “แมนออฟเดอะแมทช์”

 

คริส ซัตตัน อดีตนักเตะเชลซี กล่วว่า “แล้วอะไรคือสิ่งที่เคลียร์และชัดเจน”

“คุณต้องฟาดบางคนด้วยไม้เบสบอลเลยไหม? จับพวกเขาเฮดล็อกหรือกังฟูคิกไปเลย บ้าจริง”

 

มาร์ค แคลตเทนเบิร์ก อดีตผู้ตัดสินพรีเมียร์ลีก บอกว่า มาร์ติน แอตกินสัน และวีเออาร์ ทำถูกต้องแล้วที่ไม่ริบประตูของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

 

“ถามว่า วีเออาร์ ควรริบประตูของแมนฯ ยูไนเต็ด คืนหรือไม่ ตอบเลย ไม่”

 

“ทุกสิ่งเป็นไปตามขั้นตอนและก็ถูกต้องที่ปล่อยให้ประตูของมาร์คัส แรชฟอร์ด คงอยู่”

 

“โอริกี ล้มจากการปะทะของวิคเตอร์ ลินเดอเลิฟ และผู้ตัดสินมาร์ติน แอตกินสัน ก็อยู่ในตำแหน่งที่เพอร์เฟกต์ เขาเห็นเหตุการณ์ชัดเจนและปล่อยให้เกมดำเนินต่อไป เป็นข้อถกเถียงว่าโอริกีโดนฟาวล์หรือไม่ และผมคิดดว่าแอตกินสันตัดสินถูกต้องที่ปล่อยให้การเล่นดำเนินไป”

 

“จากนั้น วีเอออาร์ ก็ยืนยันตามคำตัดสินเดิมของผู้ตัดสินในสนาม แล้วลิเวอร์พูลก็คิดว่าพวกเขาจะตีเสมอก่อนจบครึ่งแรก (ลูกยิงของมาเน) แต่ วีเออาร์ ก็ทำงานอีกครั้ง”

 

“จังหวะนี้ภาพช้าทางโทรทัศน์แสดงให้เห็นว่าบอลโดนแขนของซาดิโอ มาเน ชัดเจนในจังหวะทำประตู เขาได้ประโยชน์จากมัน ดังนั้นวีเออาร์ ทำได้ถูกต้องแล้วที่ปฏิเสธลูกยิงดังกล่าวไป” อดีตเปาคนดังทิ้งท้าย

 

 

ทีมงานวีเออาร์กำลังสร้างปัญหาให้ตัวเอง

 

เมื่อ'วีเออาร์'สวมบทฮีโร่นัดแดงเดือด

 

 

ขณะที่ แกรี เนวิลล์ แสดงทัศนะว่า “ผมค่อนข้างมีปัญหาจริงๆ กับมาตรฐานการตัดสิน โดยเฉพาะการทำผิดกติกาเหล่านี้ มีความผิดปกติเพียงพอหรือไม่ มันควรจะเป็นการฟาวล์หรือไม่ฟาวล์ดี”

 

ทั้งนี้ เนวิลล์ ยังมองว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะทีมงานผู้ตัดสินไม่ยอมให้มีการตรวจเช็กจังหวะปัญหาด้วยจอมอนิเตอร์บริเวณข้างสนาม

 

บางทีผู้ตัดสินควรจะได้พิจารณาจังหวะปัญหาจากจอร์มอนิเตอร์ด้วยเช่นกัน

 

“พวกเขาถอยกลับไปอยู่ในมุมหนึ่ง ซึ่งบางทีมันเป็นคนละตำแหน่งกันกับปัญหาที่เกิดขึ้นจริง พวกเขาจะไม่ยอมให้ผู้ตัดสินเดินเข้ามาเช็กปัญหาที่เกิดขึ้นบริเวณซุ้มม้านั่งสำรองข้างสนาม”

 

ด้านคู่ซี้ เจมี คาร์ราเกอร์ หนึ่งในนักวิเคราะห์คนดังและเป็นอดีตดาวเตะลิเวอร์พูล บอกว่าเวลานี้ทีมงานวีเออาร์กำลังหาเรื่องใส่ตัวแบบไม่จำเป็น “พวกเขากำลังเปิดโอกาสและปล่อยให้ตัวเองโดนวิจารณ์ จากการฟาวล์ครั้งหนึ่งสู่จังหวะฟาวล์ครั้งต่อไป”

 

 

ภาพรวมเกมนี้ ลิเวอร์พูล ทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานและต้องเสียสถิติชนะรวดตั้งแต่เปิดฤดูกาล เช่นเดียวกับ อดทำสถิติชนะรวดติดต่อกันมากที่สุดไปเทียบเท่า แมนฯ ซิตี ที่เคยทำไว้ 18 นัด

 

โดยเวลานี้ลูกทีมของเจอร์เกน คลอปป์ นำเป็นจ่าฝูง หลังผ่าน 9 นัด มี 25 แต้ม แต่ช่องว่างกับทีม “เรือใบสีฟ้า” อันดับ 2 ก็ลดลงมาเหลือ 6 คะแนน

 

ส่วนแมนฯ ยูไนเต็ด อยู่อันดับ 13 จากการมี 10 แต้ม

 

เมื่อ'วีเออาร์'สวมบทฮีโร่นัดแดงเดือด

 

 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่ได้จากแดงเดือดเที่ยวนี้นอกจากข้อบกพร่องที่สองทีมต้องนำกลับไปปรับปรุงแล้ว 

 

ดูเหมือนฝั่งทีมงานผู้ตัดสินก็มีการบ้านกลับไปทำด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะมาตรฐานและความชัดเจนในการตัดสินและทำงานร่วมกันของพวกเขา 

 

ภาพ AFP

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ