"เพื่อไทย"หมอบเลือกซ่อมลำปาง จับสัญญาณเลือดไหลไม่หยุด! อดีตแกนนำทยอยออกจากพรรคต่อเนื่อง สะท้อนปัญหาจากภายในพรรค ซึ่ง "คนแดนไกล" เองก็ยังเคยวิเคราะห์กับคนใกล้ชิดว่า "ตกยุค" ไปแล้ว และเป็นคู่แข่งได้แค่กับพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นเอง
การปฏิเสธลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ลำปางเขต 4 ของ นายพินิจ จันทรสุรินทร์ อดีต ส.ส.หลายสมัย และอดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง จากค่ายเพื่อไทยนั้น ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง
เพราะเหตุผลที่นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย ผู้อำนวยการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยนำมาอธิบายนั้น ดูจะยังไม่มีน้ำหนักมากพอ
โดยเฉพาะเรื่องที่ว่านายพินิจไม่มีความพร้อม เพราะเพิ่งสูญเสียลูกชาย คือ นายอิทธิรัตน์ จันทรสุรินทร์ อดีต ส.ส.เขต 4 ลำปาง จนนำมาสู่การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้
แต่คำถามก็คือ ถ้าสภาพจิตใจไม่พร้อม ก็น่าจะตัดสินใจไม่ลงสมัครตั้งแต่ต้น เหตุใดถึงปล่อยทอดเวลามานานจนถึงวันรับสมัครวันสุดท้ายเพราะสื่อมวลชนก็ไปรอรายงานตั้งแต่เช้า ก็มีข่าวว่าจะมาช่วงบ่าย กระทั่งสรุปว่าไม่ลงสมัครในที่สุด
ผลกระทบเกิดขึ้นทันทีกับพรรคเพื่อไทยเพราะเป็นเจ้าของพื้นที่อยู่การไม่ส่งผู้สมัคร ก็เท่ากับพ่ายแพ้ตั้งแต่อยู่ในมุ้ง และเสียเก้าอี้ ส.ส.ไปฟรีๆ 1 เก้าอี้ แถมยังมีแนวโน้มสูงที่จะไปเพิ่มแต้มให้พรรครัฐบาลอย่างพรรคพลังประชารัฐอีกด้วย
เพราะคู่แข่งที่มีลุ้นที่สุด กลายเป็น ร้อยตำรวจโท สมบูรณ์ กล้าผจญ จากพรรคเสรีรวมไทย แต่ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วก็ได้คะแนนไปเพียง 2,466 คะแนนเท่านั้น
ขณะที่ นายวัฒนา สิทธิวัง ผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐ ได้ไป 30,368 คะแนน เป็นอันดับ 2 รองจากนายอิทธิรัตน์ จันทรสุรินทร์ อดีต ส.ส.จากเพื่อไทยที่กวาดไปถึง 42,984 คะแนน
ฉะนั้นหากนายพินิจและพรรคเพื่อไทยไม่ไฟเขียวเทคะแนนให้ผู้สมัครจากพรรคร่วมฝ่ายค้านอย่างเสรีรวมไทย ย่อมมีโอกาสสูงมากที่นายวัฒนา จากพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งมี ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ เป็นผู้อำนวยการเลือกตั้ง จะชนะไปแบบแบเบอร์
ผลเสียหายอย่างร้ายแรงก็คือ ช่องว่างของเสียงในสภาระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาล ซึ่งปัจจุบันถ่างกว้างถึง 64 เสียงอยู่แล้ว / คือ รัฐบาลมี 275 เสียง ฝ่ายค้าน 211 เสียง ไม่นับรวมนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ อดีตหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ที่ลูกพรรคย้ายไปสังกัดรัฐบาล และหักนายอิทธิรัตน์ที่เสียชีวิตไป เมื่อเป็นแบบนี้รัฐบาลก็จะได้แต้มเพิ่มเป็น 276 เสียง และช่องห่างในสภาจะกลายเป็น 65 เสียงเลยทีเดียว
นี่ยังไม่นับ 2 ส.ส.เพื่อไทย กับอีก 1 ส.ส.ประชาชาติ ที่ปันใจไปให้รัฐบาล จนถูกสั่งห้ามร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับฝ่ายค้านอีก 3 เสียงด้วย
การไม่ยอมลงสมัครรับเลือกตั้งของนายพินิจ จึงไม่น่ามีเหตุผลแค่สภาพจิตใจไม่พร้อม หรือเตรียมไปเล่นสนามท้องถิ่น เพราะแจ้งพรรคแบบกระชั้นชิด แถมยังไม่มีตัวตายตัวแทนให้กับพรรคด้วย ครั้นจะไปเทคะแนนให้ผู้สมัครของพรรคเสรีรวมไทย ก็ดูแปลกๆ เพราะตัวเองเป็นเจ้าของพื้นที่อยู่
เหตุนี้เองจึงมีการวิเคราะห์กันว่า ท่าทีของนายพินิจ มีอะไรในก่อไผ่หรือไม่ เพราะต้องไม่ลืมว่า ก่อนการเลือกตั้งเมื่อ 24 มีนาคมปี 62 ก็เคยมีข่าว "ทีมบ้านดอยเงิน" ภายใต้การนำของ นายพินิจ จันทรสุรินทร์ เตรียมย้ายข้างไปเข้าค่ายพลังประชารัฐรอบหนึ่งแล้ว จนทำให้ "เจ๊หน่อย" คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย บินไปร่วมงานวันเกิดภรรยาของนายพินิจถึงถิ่น เพื่อซื้อใจและประกาศกลางงานว่า"ตระกูลจันทรสุรินทร์"จะอยู่กับ"เพื่อไทย"ต่อไป
ต้องรอลุ้นว่า 1 ใน 2 บ้านใหญ่ที่ครองสนามการเมืองของลำปางอย่างตระกูลจันทรสุรินทร์ (อีก 1 บ้านใหญ่คือตระกูลโล่ห์สุนทร) จะขยับทิ้งพรรคเพื่อไทยหลังจากนี้หรือไม่
เพราะหากจับอาการพรรคเพื่อไทยช่วงหลังๆ กำลังเจอปัญหาเลือดไหลออกไม่หยุด ท่ามกลางกระแส "ซดเกาเหลา" ระหว่าง "กลุ่มคุณหญิง" กับกลุ่มอื่นๆ ภายในพรรค โดยเฉพาะ "กลุ่มบ้านริมคลอง" ที่นำโดย ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง จนทำให้งานในสภาง่อยเปลี้ยเสียขา ขนาดอภิปรายไม่ไว้วางใจยังออกแนวมวยล้มต้มคนดู หาขุนพลถล่มรัฐบาลจังๆไม่ได้เลย แถมโดนอดีตพรรคอนาคตใหม่แย่งซีนไปอีก
ที่ผ่านมามีอดีตแกนนำทยอยออกจากพรรค หรือประกาศยุติบทบาทอย่างต่อเนื่อง เช่น นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ ลาออกไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ ชื่อพรรคเสมอภาค
"เสี่ยเพ้ง"นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาลมือขวานายใหญ่-คนแดนไกล ก็ประกาศล้างมือในอ่างทองคำไปก่อนหน้านี้
แต่ล่าสุดไปปรากฏชื่อร่วมตั้งกลุ่มCARE กับ"พี่อ้วน"ภูมิธรรม เวชยชัย" -หมอมิ้ง" พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดชและ"หมอเลี้ยบ" สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี
ซึ่ง ภูมิธรรม เองก็เพิ่งถอยจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค เปิดทางให้นาวาอากาศเอก อนุดิษฐ์ นาครทรรพ จากสายคุณหญิง ขึ้นเป็นเลขาฯแทน
ขณะที่อีกด้าน "เสี่ยอ๋อย" จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และแกนนำพรรคไทยรักษาชาติ ก็ขยับตั้งพรรคใหม่ โดยน่าจะร่วมกับ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตแกนนำพรรคไทยรักษาชาติอีกคนที่ไม่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองหลังพรรคถูกยุบ ซึ่งก็น่าแปลกที่ทั้งสองคนไม่กลับชายคาเก่าพรรคเพื่อไทย แต่กลับตั้งพรรคใหม่ซึ่งต้องใช้ทุนไม่น้อยเลย
เช่นเดียวกับอดีตขุนพลคนเสื้อแดง อย่าง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ นายก่อแก้ว พิกุลทอง ก็ไม่ได้กลับไปร่วมใต้เงาพรรคเพื่อไทยยุค "คุณหญิงหน่อย" ด้วยเช่นกัน
ทั้งหมดสะท้อนปัญหาจากภายในพรรคเพื่อไทย ซึ่ง "คนแดนไกล" เองก็ยังเคยวิเคราะห์กับคนใกล้ชิดว่า "ตกยุค" ไปแล้ว และเป็นคู่แข่งได้แค่กับพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นเอง
แต่แน่นอนว่าเลือดที่ไหลออกไปและพรรคใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้ บางส่วนอาจไม่ได้ย้ายข้าง ก็จะไปสอดรับกับ "ยุทธการแตกแบงก์พัน" ของนายใหญ่เพื่อเตรียมสู้ศึกเลือกตั้งครั้งต่อไป ภายใต้ปัญหาขัดแย้ง แตกแยก ในแบบแยกกันเดินและอาจไม่ได้กลับมารวมกันตี!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง