คอลัมนิสต์

ร่วมใจลดระบาดก่อนถึง "ยาแรง"

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ร่วมใจลดระบาดก่อนถึง "ยาแรง" บทบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์คมชัดลึก ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน 2563

          นายกรัฐมนตรีส่งสัญญาณว่าหลังจากประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เมื่อวันที่ 26 มีนาคม ก็ใกล้จะครบสัปดาห์หากสถานการณ์ระบาด โควิด-19 ยังไม่ดีขึ้นคงต้องถึงเวลาใช้มาตรการเข้มข้นเพิ่มอีกและท่าทีที่ระบุคือการปิดระบบขนส่งมวลชนไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายคน โดยตัวเลข ผู้ติดเชื้อ ที่เพิ่มขึ้นแต่ละวันก็ยังอยู่ที่หลักร้อยกว่าคนมาเกือบหนึ่งสัปดาห์เช่นกันแต่ก็ยังมองในมุมบวกว่าส่วนมากมาจากเวทีมวยและสถานบันเทิงในกรุงเทพฯ และอีกส่วนมาจากคนในกรุงเทพฯ เดินทางกลับภูมิลำเนาหลังมีการปิดสถานที่เสี่ยงและสถานบริการซึ่งส่วนหลักการกระจายของเชื้อมาจากกลุ่มเหล่านี้รวมกับกลุ่มคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและที่ไปร่วมประกอบพิธีศาสนาในประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้นถ้าทุกคนปฏิบัติตนในกรอบ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ก็มีความหวังว่าจะสามารถควบคุมการระบาดได้ในเร็ววัน

 

 

 

          เชื้อไวรัสโควิด สามารถระบาดรวดเร็วและติดต่อได้ง่ายดังเห็นจากต่างประเทศทั้งในยุโรปและสหรัฐที่พบผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นจำนวนหมื่นและแสนคนจึงจำเป็นต้องป้องกันตัวเองตามมาตรการเว้นระยะห่าง 2-3 เมตร และมาตรการอื่นๆ ในเรื่องอุปกรณ์ป้องกัน เพราะไวรัสชนิดนี้ยังไม่มียารักษาอยู่ที่ว่าร่างกายแข็งแรงหรือไม่ โดยในกลุ่มเสี่ยงผู้สูงวัย ผู้มีโรคประจำตัวและเด็กเล็กยิ่งต้องระวังอย่างสูง อย่างไรก็ดีเสียงสะท้อนจาก ศบค.ถึงการเคลื่อนย้ายยังอยู่ในจุดที่ยังไม่น่าพอใจเพราะการเดินทางรถโดยสารสาธารณะแม้จะลดลงประมาณ 50% ยังอยากเห็นตัวเลขไปให้ถึง 90% พอจะเป็นแสงสว่างไปสู่เป้าหมายและประการสำคัญยังมีการใช้รถส่วนบุคคลในปริมาณมากนั่นคือมาตรการอยู่บ้านยังต้องการความร่วมมือมากกว่านี้โดยสิ่งที่จะเป็นเครื่องชี้วัดคือกราฟ ผู้ติดเชื้อ ลดระนาบลงไม่ชันขึ้นสูง

          คนบางกลุ่มอาจไม่เข้าใจหรืออาจไม่สนใจยังฝ่าฝืนมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลได้พยายามขอให้ร่วมมือกันโดยยังไม่ใช้ “ยาแรง” โดยยังรวมกลุ่มทำกิจกรรมดื่มกินและผู้ประกอบการ บางส่วนก็ฝ่าฝืนลักลอบเปิดให้บริการซึ่งยังปรากฏให้เห็นการจับกุมกันอยู่ ตรงจุดนี้มีคำถามว่าความรับผิดชอบต่อสังคมไปไหนหมด ถ้าเฉพาะติดเชื้อไปเองคงไม่มีใครอยากจะสนใจ แต่การเอาเชื้อไปเผยแพร่คนอื่นและลามไปในวงกว้างเป็นสิ่งที่ควรเกิดขึ้นหรือไม่จากพฤติกรรมอันไม่เหมาะสม ซึ่งการลงโทษทางกฎหมายแม้จะมีความรุนแรงแต่สิ่งที่ตามมาคือการที่ถูกสังคมลงโทษประณามด้วย ดังนั้นมาตรการที่ภาครัฐกำหนดทั้ง “ห้ามทำ-ให้ทำ-ควรทำ” เป็นหลักการที่ทุกคนต้องยึดปฏิบัติเพราะไม่เพียงประโยชน์ตนเองแต่เพื่อคนส่วนรวมและที่สำคัญคือบุคคลในครอบครัวของตนเองที่อาจเสี่ยงรับเชื้อได้จึงต้องมีสำนึกตรงนี้ให้มาก

 

          การเพิ่มมาตรการเข้มข้นได้เริ่มแล้วในหลายพื้นที่แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นใช้ “เคอร์ฟิว” โดยเฉพาะจังหวัดที่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มซึ่งยังเป็นการขอความร่วมมือจากประชาชนรวมกับการบังคับตามกฎหมายเกี่ยวกับสถานที่เพื่อลดความเสี่ยง อาทิ การขอความร่วมมือห้ามออกจากบ้านเป็นบางเวลาและการสั่งปิดร้านสะดวกซื้อเป็นห้วงเวลาเช่นตั้งแต่สี่ทุ่มจนถึงตีห้าเป็นต้นไป ขณะเดียวกันรัฐบาลได้พยายามเสริมมาตรการเยียวยาให้ถึงทุกกลุ่มซึ่งเป็นเวลายากลำบากทุกฝ่ายไม่ควรมีการไปกล่าวโทษกล่าวหาฝ่ายใด เพราะวิกฤติครั้งนี้เกิดขึ้นโดยไม่ทราบล่วงหน้าและทุกประเทศได้รับผลกระทบไปหมด หากมองในมุมที่ไทยกำลังเผชิญตอนนี้ยังอยู่ในจุดที่เราทุกคนสามารถช่วยส่วนรวม และปกป้องตนเองและครอบครัวได้ โดยปลุกจิตสำนึกช่วยกันให้เส้นกราฟผู้ติดเชื้อลดระดับลงให้ได้เพื่อให้เห็นถึงพลังรวมใจของคนไทย

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ