โดย...ทีมรายงานพิเศษหนังสือพิมพ์คมชัดลึก
มาตรการควบคุมและป้องกันการระบาดไวรัสร้าย “โควิด-19” เริ่มเข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะที่จังหวัดสกลนคร ผู้ว่าราชการจังหวัดออกประกาศคำสั่งห้ามร้านค้าทั่วไป “ขายสุรา” ทำให้เครือข่ายสุราชุมชน ออกมาเตือนระวังเปิดช่อง “ไอ้โม่ง” หาผลประโยชน์เหล้าเถื่อนใต้ดิน
อ่านข่าว - สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง แจงไทยรับหน้ากากจีนแต่ส่งออกไปสหรัฐฯ
วันที่ 30 มีนาคม ที่ผ่านมา นายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร ออกมาตรการเฝ้าระวังควบคุมไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โรคโควิด-19 (COVID-19) ด้วยการสั่งปิดสถานที่หลายแห่ง ป้องกันประชาชนไม่ให้มารวมตัวกัน แต่ที่น่าสนใจ คือ ประกาศฉบับที่ 7/2563 ที่มีเนื้อหากำหนดให้
ปิดสถานที่ร้านค้าหรือสถานประกอบการขายสุรา “ประเภท 1 และ ประเภท 2” เป็นการชั่วคราว แต่ให้ขายสินค้าประเภทอื่นได้ ตั้งแต่ 31 มีนาคม - 16 เมษายน 2563 ผู้ใดฝ่าฝืนโดนโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558
หลายคนเกิดความสงสัยว่า สุราประเภท 1 - 2 หมายความว่าอย่างไร ?
“ใบอนุญาตขายสุรา” ตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ที่ออกใหม่มี 2 ประเภท ได้แก่
“ประเภทที่ 1” เรียกว่า “ขายส่ง” สำหรับโรงงานหรือร้านยี่ปั๊วที่ขายเหล้าลูกค้าแต่ละครั้ง “เกิน 10 ลิตรขึ้นไป”
“ประเภทที่ 2” คือ “ขายปลีก” หมายถึง ร้านค้าทั่วไปหรือร้านอาหารที่ขายแต่ละครั้ง “ต่ำกว่า 10 ลิตร”
ก่อนอื่นต้องเข้าใจความหมายของ “สุรา” ว่าไม่ใช่เฉพาะเหล้า แต่รวมถึงวัตถุทั้งหลายหรือของผสมที่มีแอลกอฮอล์ ไม่เกิน 05 ดีกรี เพราะฉะนั้น เบียร์ ไวน์ เหล้าขาว ไวน์คูลเลอร์ แชมเปญ ฯลฯ ถือเป็นสุราในความหมายนี้ทั้งหมด
ที่ผ่านมา ประกาศผู้ว่าฯ จังหวัดอื่นเน้นปิด “ร้านอาหาร” หรือ “ร้านขายเครื่องดื่มทุกประเภท” ให้ซื้อไปดื่มกินที่บ้านได้ เพื่อป้องกันการรวมตัวกันของคนหมู่มาก แต่ดูเหมือนคำสั่งปิดผับบาร์ร้านอาหาร ยังไม่ได้ผลเท่าที่ควร เพราะยังมีคนนัดรวมตัวพบปะตามบ้านหรือสถานที่ต่างๆ มีการนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาสังสรรค์เฮฮากัน แม้เป็นกลุ่มเล็กๆ แต่อาจเป็นสาเหตุที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโรคโควิด-19 ในประเทศไทย ยังคงเพิ่มขึ้นหลักร้อยคนอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น การสั่ง “ห้ามขายสุรา” อาจเป็นหนึ่งในมาตรการขั้นเด็ดขาด แต่จะได้ผลจริงหรือไม่ ?
“สมบูรณ์ แก้วเกรียงไกร” นายกสมาคมสุราชุมชน แสดงความเห็นว่า การห้ามขายสุราทั้งร้านขายส่งและร้านขายปลีกทั่วไป ทำได้ยากมาก เพราะอาจมีการแอบไปซื้อที่โรงผลิตเหล้า หรือถ้ามีมาตรการสั่งปิดโรงผลิตเหล้าเบียร์ หรือห้ามนำเข้าจากต่างประเทศมาขายด้วย จะยิ่งทำให้เกิดกลุ่มผลประโยชน์หากินกับ “สุราเถื่อน”
“ส่วนตัวแล้ว ยังไม่แน่ใจว่าการห้ามร้านค้าทั่วไป หรือยี่ปั๊วขายเหล้า จะช่วยลดการชุมชมหรือพบปะกันจริง เพราะคนที่อยากเจอกัน สังสรรค์กัน ก็มีวิธีหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ตัวเองชอบมาได้อยู่ดี พวกคนในเมืองก็ใช้วิธีไปแอบซื้อเหล้า เบียร์ ไวน์ ในตลาดมืด โรงเหล้าก็มาแอบปล่อยขายได้กำไรเพิ่มขึ้น หรือกลุ่มคนหาผลประโยชน์กักตุนสินค้าตรงนี้ก็เข้ามาทันที ตั้งราคาขายแพงขึ้น ส่วนคนต่างจังหวัดในหมู่บ้าน ก็หันไปหาซื้อในโรงผลิตเหล้าชุมชนได้เลย กลายเป็นว่า สุดท้ายลูกค้าต้องจ่ายเงินเพิ่ม โรงผลิตเหล้าได้ประโยชน์ ร้านค้าเจ๊ง”
พร้อมกล่าวแสดงความเห็นต่อว่า หากรัฐบาลเอาจริง มีคำสั่งถึงขั้น “ปิดโรงงาน” หรือปิดโรงผลิตเหล้า เบียร์ ฯลฯ เพื่อตัดต้นทาง วิธีนี้ก็ยิ่งทำให้ “กลุ่มไอ้โม่ง” โก่งราคาขายเหล้าใต้ดินสูงขึ้นไปอีก
“เมืองไทยตอนนี้มีโรงผลิตเหล้าขนาดใหญ่ประมาณ 40 แห่ง ส่วนเครือข่ายโรงสุราชุมชนประมาณ 3 พันแห่ง ยังไม่รวมแหล่งกลั่นเหล้าขาวเถื่อนตามหมู่บ้านต่างๆ สุดท้ายคนที่ยังอยากดื่ม คงหาซื้อได้ถ้ามีเงิน เพราะโรงงานเหล่านี้ถึงเลิกผลิต ก็จะมีเหล้าในสต็อกตุนไว้เหลือขายอยู่ได้เป็นปี ตามขั้นตอนการบ่มเก็บแล้วทยอยขาย สำหรับชาวบ้านถ้าหาซื้อไม่ได้ก็หันมาต้มเหล้าเถื่อนกินกันเอง อยากให้รัฐบาลคิดให้รอบด้าน ไม่อยากให้เกิดกลุ่มผลประโยชน์ใต้ดินขึ้นมาซ้ำเติมคนไทย” นายกสมาคมสุราชุมชน กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ แพทย์ผู้ดูแลคนไข้โรคโควิด-19 ในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง แสดงความเห็นเรื่องคำสั่งห้ามขายสุรา ว่า เป็นแนวคิดที่อยากป้องกันไม่ให้คนไทยออกมารวมตัวกัน ต้องลดการพบปะให้ได้ 90 เปอร์เซ็นต์ ถึงจะควบคุมเชื้อไวรัสตัวนี้ได้ พร้อมกล่าวว่า
“แต่ไม่แน่ใจนะว่าห้ามขายเหล้าจะได้ผลไหม เพราะคนไข้ผมหลายคนก็บอกว่า ยังไปเจอเพื่อน นั่งเล่นไพ่ เล่นเกมกัน ดังนั้น วิธีดีสุด คือ ช่วยกันปลุกจิตสำนึกให้คนไทยเข้าใจว่าต้องรักษาระยะห่าง ไม่ออกไปข้างนอกพบปะคนอื่นโดยไม่จำเป็น ถ้าไม่มีจิตสำนึก การใช้มาตรการห้ามปรามใดๆ ก็คงยาก”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง