คอลัมนิสต์

ไม่มีที่ปลอดภัยถ้ายังประมาท

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ไม่มีที่ปลอดภัยถ้ายังประมาท บทบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์คมชัดลึก ฉบับวันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563

          การอพยพเคลื่อนย้ายถิ่นฐานประชากร และการปกปิดข้อมูลยังคงเป็นประเด็นปัญหาที่ทำให้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดไวรัส โควิด-19 ไม่ได้ผลเท่าที่ควร ในกรณีแรกนั้นส่งผลให้ผู้ติดเชื้อในต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างที่ศรีสะเกษ พบผู้ป่วยเป็นนักศึกษาหญิง มีงานเสริมเป็นพนักงานเสิร์ฟร้านอาหารย่านสุขุมวิท กรุงเทพฯ จะด้วยเหตุผลใดไม่แจ้งชัด การสอบสวนโรคพบว่า บิดาขับรถไปรับกลับบ้านที่ อ.ราษีไศล ก่อนจะป่วยมีไข้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลราษีไศล ขณะที่ทีมงานสอบสวนโรคก็ตั้งข้อสงสัยว่า ผู้ป่วยรายหนึ่งซึ่งเสียชีวิตลงและมีประวัติเกี่ยวข้องกับสนามมวยนั้นอาจปกปิดประวัติความเสี่ยงของตน และรักษาตัวเองอยู่กับบ้านจนอาการทรุด นั่นหมายถึงการเสียโอกาสในการรักษาให้หายได้ และยังอาจแพร่เชื้อไปในวงกว้างอีกด้วย

 

 

 

          สถิติการแพร่ระบาดของ ไวรัสมรณะ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม ที่ผ่านมา พบว่าไวรัสได้แพร่กระจายไปแล้วถึง 59 จังหวัด มีผู้ติดเชื้อเพิ่ม 143 ราย ยอดสะสม 1,388 ราย เสียชีวิต 7 ราย สถานการณ์ที่ดำเนินมาถึงขั้นนี้ จะโทษใครหรือโทษกันไปมาก็คงไม่เหมาะสม ทางที่ดีที่สุดคือร่วมมือร่วมใจกัน อย่างเช่นการเดินทางหรือย้ายถิ่นฐานกลับชนบท ประชาชนที่เดินทางเข้าไปในพื้นที่ต้องปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัด แม้เจ้าหน้าที่หรืออาสาสมัครจะไม่สามารถสอดส่องดูแลได้ทั่วถึง แต่คนเดินทางเข้าพื้นที่นั้นก็พึงต้องไปรายงานตัวกับฝ่ายปกครองในท้องถิ่น เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้านเพื่อเข้าสู่กระบวนการสอบสวนและคัดกรองเบื้องต้นก่อนกักบริเวณเพื่อรอดูอาการเป็นเวลา 14 วัน

           ประเด็นต่อมาเรื่องการให้ข้อมูลแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข มีคำแนะนำจากแพทย์ว่าผู้มีอาการทุกรายควรซักตัวเองให้ชัดเจนก่อนว่า ไปไหนมาบ้าง จำเป็นต้องบอกประวัติกับแพทย์ถ้ากลัวว่าติดเชื้อแล้วจะแพร่ไปยังคนอื่นจึงไม่บอกข้อมูล ก็จะกลายเป็นทำร้ายคนอื่น โดยเฉพาะคนใกล้ชิดและคนในครอบครัว ซึ่งจากไทม์ไลน์ในหลายๆ กรณีก็พบว่าไม่ได้ให้รายละเอียดมากพอที่จะติดตามคนกลุ่มเสี่ยงมาได้อย่างครบถ้วน นั่นหมายถึงการแพร่ระบาดแบบลูกโซ่และทวีคูณที่อาจเกิดขึ้นได้ นี่จึงเป็นความรับผิดชอบของทุกคน ทั้งต่อชีวิตตัวเอง ครอบครัว และสังคมโดยรวม ขณะเดียวกันเมื่อบุคคลใดรู้ว่าตัวเองคือกลุ่มเสี่ยงก็ต้องปฏิบัติตนเสมือนพาหะนำโรคเพื่อป้องกันการติดต่อ ในกรณีที่การสอบสวนโรคยังมาไม่ถึงตน

 

          ไม่มีใครสามารถระบุได้ว่าการหยุดยั้งไวรัส โควิด-19 จะสัมฤทธิ์ผลเมื่อใด ทุกเวลานาทีข้างหน้า จึงถือว่าประเทศไทยยังอยู่บนหุบเหวของหายนภัย จะหวังพึ่งยาแรงจากภาครัฐด้านเดียวก็คงไม่ได้ ทุกภาคส่วนคงตระหนักกันดีแล้วว่าบุคลากรทางการแพทย์ สถานพยาบาล ไม่เพียงพอรองรับผู้ป่วยที่ทะยานไปกว่าพันคนแล้วได้ ตัวเลขผู้ที่รักษาหายเพียงน้อยนิดนั้นก็เป็นเสมือนข่าวดีที่ยิ่งทำให้เกิดความประมาทกันมากขึ้น หรือแม้แต่คำบอกกล่าวจากฝ่ายการเมืองเช่นว่า การสาธารณสุขไทยมีศักยภาพพอให้คนไทยอุ่นใจก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน ดังนั้นประชาชนบางคนหรือบางกลุ่มที่ยังประมาทและไม่ใส่ใจก็ควรถึงเวลารับรู้ความจริงได้แล้วว่า ภัยร้ายนี้เข้ามาใกล้ตัวของทุกคนแล้ว ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนตำบลใด

 

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ