คอลัมนิสต์

"วินัย-รับผิดชอบ"พาชาติรอด

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"วินัย-รับผิดชอบ"พาชาติรอด บทบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์คมชัดลึก ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม 2563

          สถานการณ์แพร่ระบาด ไวรัสโควิด-19 ของประเทศไทยกำลังเดินทางถึงจุดที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือร่วมแรงใจช่วยกันให้พ้นวิกฤติครั้งนี้ ซึ่งทางผู้เชี่ยวชาญและวิชาการแพทย์คาดคะเนว่าหากสถิติกราฟจำนวนเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อตั้งขึ้น นั่นย่อมนำไปสู่การติดเชื้อจำนวนมากเป็นแสนคนขึ้นไปในระยะเวลาไม่กี่สัปดาห์นับจากนี้ สะท้อนว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้มาตรการเข้มข้นเพื่อหยุดยั้งการลุกลามระบาดนี้ให้ได้ เพราะหากมีผู้ติดเชื้อมากและผู้ป่วยอาการหนัก ซึ่งทางการแพทย์ประเมินจากประเทศต่างๆ จะมีผู้ป่วยหนักประมาณ 10% ของผู้ติดเชื้อ จะทำให้อุปกรณ์การแพทย์และเครื่องพยุงชีพมีจำนวนไม่เพียงพอ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดในอิตาลีเป็นบทเรียนที่ทั่วโลกรับทราบและเตรียมป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอย และหลายประเทศตัดสินใจใช้กฎหมายสูงสุดเบ็ดเสร็จเข้าคุมสถานการณ์ก่อนสายเกินการณ์

 

 

 

          ในส่วนของไทยก็มีความจำเป็นต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาด ซึ่งปัจจุบันตัวเลขผู้ติดเชื้อใกล้แตะพันคนไปแล้ว อีกทั้งภาครัฐได้เตรียมพร้อมทั้งในเรื่องสถานที่รวมถึงโรงพยาบาลสนามในการรองรับผู้ป่วยรวมไปถึงบุคลากรการแพทย์ให้พร้อมเพรียงที่สุดเท่าที่ทำได้ ซึ่งในส่วนด่านหน้าสู้ศึกไวรัสอย่างบุคลากรแพทย์ก็อยู่ในจุดเสี่ยงสูงและน่าเศร้าที่มีหมอและทีมแพทย์ติดเชื้อไปแล้ว 6 ราย จากเหตุที่ไม่ควรเกิดขึ้นเนื่องจากผู้ป่วยปกปิดประวัติเสี่ยง จนเรื่องนี้ส่งผลกระทบกับเหล่าทีมแพทย์ด่านหน้า ถือว่าเป็นเรื่องที่ขาดความรับผิดชอบต่อส่วนรวมอย่างมากและยังทำให้บุคลากรแพทย์อีกกว่า 20 คนต้องเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงเพราะใกล้ชิดกับทีมแพทย์ 6 คนที่ติดเชื้อต้องกักตัว 14 วัน ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ จึงเป็นการกระทำที่ส่งผลบั่นทอนกำลังของทีมด่านหน้าไปอีกอย่างที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย

          ผู้บริหาร องค์การอนามัยโลก เตือนว่าการที่ประเทศต่างๆ ปิดประเทศ หรือ ล็อกดาวน์เมือง เพื่อต่อสู้กับ ไวรัสโควิด-19 ยังไม่เพียงพอ แต่จำเป็นต้องมีมาตรการทางสาธารณสุขอื่นเข้ามาร่วมด้วยเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดอีกในภายหลัง เพราะวัคซีนรักษายังไม่เสร็จในเร็ววันนี้ และระบุว่ามาตรการสำคัญคือการหาผู้ป่วย คนที่ติดเชื้อ และแยกตัวออกไปพร้อมค้นหาคนที่มีปฏิสัมพันธ์ด้วยและแยกออกไปเฝ้าดูอาการเช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้ทุกประเทศได้พยายามบริหารจัดการแต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับจิตสำนึกที่เห็นแก่ส่วนรวมเพราะการค้นหาผู้ติดเชื้อและกลุ่มเสี่ยงทั้งหมดเป็นเรื่องยากลำบาก และสิ่งที่รัฐทำได้คือประกาศสถานที่เกี่ยวข้องกับผู้ติดเชื้อ โดยขอให้กลุ่มเสี่ยงไปรายงานตัวเพื่อทำตามมาตรการเฝ้าระวัง โดยตอนนี้ก็มีประกาศไว้กว่า 40 จุดทั้งรถโดยสาร สถานบันเทิง ถ้าหากละเลยก็อาจเกิดระบาดทวีคูณได้

          ขณะเดียวกันคนไทยอีกบางส่วนอาจไม่เข้าใจว่าสถานการณ์ประเทศได้เผชิญวิกฤติสูงสุดที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของคนจำนวนมาก โดยไม่ให้ความร่วมมือกับมาตรการต่างๆ ที่ภาครัฐขอให้ช่วยกัน ซึ่งปรากฏออกมาเป็นระยะ ทั้งการรวมกลุ่มดื่มกินหรือไม่ใส่หน้ากากอนามัยในที่ชุมชนคนหนาแน่น และยังพบพฤติกรรมที่ควักล้วงตัวเองเอามือไปป้ายตามอุปกรณ์ลิฟต์สถานีรถไฟฟ้าแห่งหนึ่งจนสร้างความแตกตื่น นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนเคลื่อนย้ายจากกรุงเทพฯ กลับภูมิลำเนา พบว่ายังออกไปยังแหล่งสถานที่ต่างๆ ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการระบาดและอย่าคิดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบ เพราะเมื่อสถานการณ์รุนแรงหยุดไม่อยู่แล้วทุกคนในประเทศต่างได้รับผลกระทบไปหมด ดังนั้นหนทางที่ดีที่สุดที่ทุกคนร่วมกันทำได้และช่วยพาประเทศปลอดภัยคือความมีวินัย-รับผิดชอบต่อส่วนรวม ที่ต้องตระหนักยึดถือปฏิบัติ

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ