สิ้น มี.ค.นี้.. หากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัส "โควิด-19" ยังคุมไม่อยู่ รัฐบาลจ่อประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง-พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ทยอยเพิ่มขึ้นและกระจายไปทั่วทุกภูมิภาค กำลังส่งสัญญาณให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ต้องตัดสินใจงัดมาตราการขั้นสูงสุด หรือที่เรียกว่า 'ยาแรง' ออกมาบังคับใช้ภายในสิ้นเดือนมีนาคม หากมาตราการต่างๆของรัฐบาลที่ประกาศไปก่อนหน้านี้ ไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้
หน่วยงานความมั่นคง กำลังสังเคราะห์และประเมินผล ภายหลังรัฐบาลออกมาตรการสกัดการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งถือว่าได้ผลระดับหนึ่ง สำหรับการยับยั้งเชื้อไวรัส ทั้ง "ทางบก-ทางเรือ-ทางอากาศ" ที่กำหนดให้ ชาวต่างชาติที่มาจากกลุ่มเสี่ยง 4 ประเทศและ 2 เขตปกครอง ต้องมีใบรับรองแพทย์อายุไม่เกิน 3 วัน ,มีประกันสุขภาพ ,ติดแอพพลิเคชั่นติดตามตัว และถูกกักโรค 14 วัน
แต่การควบคุมการแพร่ระบาดภายในประเทศ เป็นเรื่องที่หน่วยงานความมั่นคงแสดงความกังวล แม้รัฐบาลจะประกาศปิดสถานบันเทิง ผับ บาร์ เวทีมวย โรงภาพยนตร์ ฯลฯ พร้อมทั้งรณรงค์ให้ประชาชนไม่ออกนอกบ้าน เพื่อสกัดแพร่ระบาด แต่ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ของกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)กลับเพิ่มขึ้นทุกวัน
ปัจจัยหนึ่งมาจากกลุ่มคนเสี่ยงติดโรค แต่ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่เข้าสู่กระบวนการกักตัว 14 วัน ตามขั้นตอนกระทรวงสาธารณสุข และกลับไปใช้ชีวิต เที่ยว ดื่ม สังสรรค์ ช็อปปิ้ง ซึ่งมีโอกาสแพร่เชื้อไปสู่บุคคลอื่น เช่น กรณี สนามมวยลุมพีนี รามอินทรา ที่มีกลุ่มเสี่ยงติดโรคประมาณ 500 คน แต่ตรวจพบเพียงกว่า 100 คนเท่านั้น
พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สั่งซีล กทม.เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่ 80 เปอร์เซ็นต์อยู่ในพื้นที่ ด้วยมาตราการปิดห้างสรรพสินค้า- สนามกอล์ฟ ตลาดทั่วทั้ง กทม.เป็นเวลา 22 วัน เป็นการยกระดับมาตรการควบคุมสถานการณ์การควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19
นอกจากนี้ หน่วยงานความมั่นคง ได้รับข้อมูลจาก กระทรวงสาธารณสุข ที่ประเมินสถานการณ์แนวโน้มผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย โดยแบ่งเป็น สถานการณ์รุนแรงที่สุดจะมีผู้ติดเชื้อ16.7 ล้านคน ภายใน 1 ปี แต่หากสถานการชะลอได้ จะมีผู้ติดเชื้อ 9.9 ล้านคนภายใน 2 ปี และหากสถานการณ์ควบคุมได้ จะมีผู้ติดเชื้อ 400,000 คนใน 2 ปี และการแพร่ระบาดจะเป็นไปตามฤดูกาล
ภายใน 14 วัน คือ ตั้งแต่วันที่ 18 -31 มี.ค. หากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัส "โควิด-19" ยังไม่เป็นผลต่อการควบคุม หรือยังไม่เป็นผลตามมาตรการที่รัฐบาลกำหนดไว้ หรือบางพื้นที่ บางจังหวัด พบผู้ป่วย "โควิด-19" เพิ่มขึ้น รัฐบาลจะตัดสินใจใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ออกมาให้มีผลบังคับใช้เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดในสิ้นเดือน มี.ค.นี้
"ขณะนี้คิดเอาไว้ แต่ยังไม่ประกาศ เพราะต้องดูว่ามาตราการทั้งหมดที่ประกาศออกไป หากใช้ได้ผล ก็ใช้ไปก่อน เพราะต่อให้ออก พรบ.ความมั่นคงฯ และ พรก.ฉุกเฉินฯ มาตรการๆก็คล้ายกับของเดิม แต่จะเพิ่มความเข้มข้น ซึ่งต้องดูไปถึงสิ้นเดือน มี.ค.นี้ หากยังเอาอยู่ มีแนวโน้นต้องขยายตามมาตรการ ขณะนี้การลดการเอาเชื้อเข้าประเทศได้ระดับหนึ่งแล้ว แต่ต้องดูการแพร่ระบาดภายในประเทศ ว่ามีขีดความสามารถนำตัวคนไทยติดเชื้อเข้าสู่กระบวนการได้มากน้อยแค่ไหน" หน่วยงานความมั่นคง ระบุ
แต่การประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง และพ.ร.ก.ฉุกเฉิน หากมองในแง่ของกฎหมายเป็นเรื่องของความมั่นคง แต่ในทางปฏิบัติเป็นเรื่องของ ครม. และอยู่บนฐานของกระทรวงสาธารณสุข เพราะกฎหมาย 2 ฉบับนี้ มีความคล้ายคลึงกัน แต่จะแตกต่างกันที่ความเข้มข้นการบังคับใช้ ซึ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับรัฐบาลต้องพิจารณา
หากเป็น พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ จะมีขั้นตอนมากกว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คือ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.) ต้องเสนอผ่าน สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)ก่อนนำเข้า ครม.อนุมัติประกาศใช้ โดยอาศัยมาตรา 15 ตั้งหน่วยงานขึ้นมารับผิดชอบ ส่วนมาตรา 16 จัดตั้งพื้นที่ และผู้บัญชาการเหตุการณ์ พร้อมคำสั่งตั้งศูนย์อำนวยการจัดการ ขณะที่มาตรา 18 ห้ามออกจากเคหาสน์สถานในยามวิกาล
ในขณะที่ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะปฏิบัติงานได้รวดเร็วกว่า เพราะผ่านเพียงขั้นตอนคณะรัฐมนตรี( ครม.)เท่านั้น รวมถึงมาตราการเข้มข้น และให้อำนาจเจ้าหน้าที่มากกว่า โดยสามารถตรวจค้นและควบคุมตัวได้ 7 วัน
แต่มีข้อเสียก็คือ นานาประเทศและองค์กรสิทธิมนุษยชนต่อต้าน อีกทั้งยังกระทบธุรกิจ
จึงเป็นที่มาของ อัครราชทูตประจำประเทศไทยหลายประเทศ ได้ขอรับทราบถึงมาตราการแก้ไขปัญหาไวรัสโควิด-19 ของไทยในอนาคต จาก นายอนุทิน ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเตรียมการรองรับหากรัฐบาลไทย เตรียมประกาศใช้กฎหมายทั้งสองฉบับนี้
ขณะนี้รัฐบาลกำลังเพิ่มระดับความเข้มข้น ในการออกมาตราการต่างๆยับยั้งการแพร่ระบาดโควิด-19 ภายในประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้ปรับตัว แต่อีกไม่กี่วันนับจากนี้ หากสถิติผู้ติดเชื้อไม่ลดลง แต่ก้าวกระโดดเหมือนประเทศในยุโรป พ.ร.บ.ความมั่นคง และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คือคิวต่อไป
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :เปิดไทม์ไลน์ 12 เดือน ไทยติดเชื้อโควิด-19เท่าไหร่?
ข่าวที่เกี่ยวข้อง