เปิดใจ"คารม พลพรกลาง"เสียความรู้สึกแต่ยังรัก"ธนาธร-ปิยบุตร" คอลัมน์... Excusive Talk
ปฏิเสธไม่ได้ว่าพรรคก้าวไกล เป็นอีกพรรคการเมืองหนึ่งที่หลายฝ่ายกำลังจับตามองอย่างมาก ภายหลังมี ส.ส.จากพรรคอนาคตใหม่ที่ถูกยุบไปพร้อมเข้าสังกัดถึง 55 คน และกำลังจะได้ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ เป็นผู้นำพรรคคนใหม่
พรรคก้าวไกล ประกาศจุดยืนชัดเจนว่าพร้อมสานงานและอุดมการณ์ของพรรคอนาคตใหม่อย่างต่อเนื่องแต่ก่อนจะไปถึงภารกิจนั้น ปรากฏว่าเกิดความขัดแย้งภายในเรื่องการจัดโครงสร้างพรรคถึงขนาดที่ ‘คารม พลพรกลาง’ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่กำลังตัดสินใจเข้าพรรคก้าวไกล ต้องทบทวนจุดยืนตัวเอง เนื่องจากเห็นว่าพรรคไม่ได้เน้นการทำงานการเมืองในภาคอีสานมากนัก
ในเรื่องเหล่านี้ ‘คารม’ เปิดใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไว้อย่างน่าสนใจว่า การออกมาตั้งข้อสังเกตของโครงสร้างพรรคนั้น ผมพูดด้วยความบริสุทธิ์ใจที่เห็นว่าพรรคควรจะเดินไปข้างหน้าอย่างไร โดยไม่ได้ไปแตะบุคคลใดเลย หากผมพูดตรงนี้ไม่ได้ มันจะเป็นพรรคการเมืองที่ประชาธิปไตยได้อย่างไร เราต้องพูดได้ เพราะเราเข้ามาในพรรคด้วยอุดมการณ์ การที่ผมพูดถึงภาคอีสานเพราะเป็นพื้นที่บ้านผม”
“ผมต้องการให้พรรคการเมืองใหม่ตอบโจทย์จริงๆ รองหัวหน้าพรรคที่กำหนดไว้ไม่มีภาคอีสานเลยนะครับ ผมพูดอย่างนี้แล้วไม่ต้องมาตั้งผมเป็นรองหัวหน้าพรรคนะ”
สำหรับกระแสโต้กลับของคนในพรรคที่ออกมาแสดงความไม่พอใจกับท่าทีของ ‘คารม’ โดยเฉพาะจาก ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. และ อภิชาติ ศิริสุนทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ อดีตพรรคอนาคตใหม่ ทำให้คารมยอมรับแบบตรงไปตรงมาว่า “เสียความรู้สึก”
“ไม่ว่าใครอยู่เบื้องหลังคุณณัฐชา คุณอภิชาติ มาต่อว่าผมเหมือนผมไม่มีราคา เป็นการดูถูกผมเป็นการส่วนตัว ทั้งๆ ที่ผมพูดถึงภาพรวมของพรรคเท่านั้น เมื่อพูดอย่างนี้แทนที่ผมจะไม่ไปไหนเลย ทำให้ผมคิดกลับไปเลยนะครับ ผมยอมรับว่าผมได้เป็น ส.ส.เพราะพรรคอนาคตใหม่ แต่ผมก็ช่วยพรรคอนาคตใหม่เต็มที่ ในร้อยเอ็ดผมก็ทำทุกอย่าง จนได้คะแนนมาจำนวนมาก ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เขตของนักศึกษา”
“ผมอายุตอนนี้จะ 60 ปีแล้ว คุณณัฐชาเป็นเด็กมากต้องมีคนกำกับข้างหลังแน่นอน เมื่อออกมาต่อว่ากันอย่างนี้ ผมก็รู้สึกไม่ดีเลย ผมก็ดูเหมือนกันว่าถ้าก้าวล่วงผมแบบนี้ ผมก็เป็นทนายความนะก็ดูอยู่เหมือนกัน ส่วนคุณอภิชาติก็ดูแคลนผมมาก ผมเล่นการเมืองมาตั้งแต่ปี 2539 จึงเป็นคำพูดที่แย่มากและเสียความรู้สึก ผมกำลังตรวจสอบทุกอย่างเพื่อจะได้รู้ว่าวางตัวอย่างไรดี”
ขณะเดียวกัน ‘คารม’ ยืนยันจุดยืนชัดเจนว่าแม้จะมีความคิดเห็นไม่ตรงกันกับพรรคอนาคตใหม่หรือพรรคก้าวไกล แต่ก็ไม่เคยเป็นงูเห่า อีกทั้งยังเคารพในการทำงานของ ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ และ ‘ปิยบุตร แสงกนกกุล’
“ผมไม่ใช่งูเห่านะครับ เพราะเวลาพรรคอนาคตใหม่มีมติอย่างไร แม้ผมจะเห็นต่างแต่ก็ทำตามมติพรรค ผมมีมารยาทและรู้กฎหมายและประเพณีการปกครองประชาธิปไตย แต่พอบ้านถูกพายุไปแล้ว เวลาเราจะไปบ้านใหม่ก็ต้องสร้างด้วยความสามารถของคนในบ้าน ผมพูดก็ตามหลักการเท่านั้น แต่กลายเป็นว่าเมื่อพูดหลักการไปแล้วกลับมาด่ากันในเรื่องส่วนตัว เรื่องนี้เรื่องใหญ่ แสดงว่าพรรคนี้ไม่มีเด็กไม่มีผู้ใหญ่ ถ้าเห็นต่างด่ากันได้หมด”
“ถ้าผมจะไปจากพรรคนี้ทำไมผมไม่ไปตั้งแต่แรกครับถูกไหม ผมมีเหตุมีผล แต่เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว การตัดสินใจมันง่ายขึ้นเยอะเลยนะครับว่าจะอยู่หรือจะไป การมาใส่ความเรื่องส่วนตัวดูหมิ่นดูแคลนส่วนตัว มันเป็นการบอกอย่างหนึ่งว่าคนบางกลุ่มบางพวกมันไม่ได้เห็นความเป็นคนเหมือนกันไง เราเป็นส.ส.ก็มีอาวุโส คำพูดนี้มันอันตรายมากสำหรับคนทำงานการเมือง การพูดอย่างนี้เป็นการพูดของนักการเมืองเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่มีสัมมาคารวะ แต่ผมยังเคารพทั้งคุณธนาธรและอาจารย์ปิยบุตรเหมือนเดิม”
ถึงที่สุดแล้ว ‘คารม’ ย้ำชัดเจนว่าการทำงานการเมืองในภาคอีสานควรมีการกำหนดให้ส.ส.รับผิดชอบอย่างชัดเจน เพราะจะเป็นโอกาสที่ดีที่พรรคได้เปิดพื้นที่และมีสมาชิกพรรคเพิ่มขึ้น
“ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเข้าสมัครสมาชิกพรรคการเมืองใดทิ้งสิ้น เพียงแต่คำพูดจากณัฐชาและอภิชาติทำให้การตัดสินใจของผมง่ายขึ้นเยอะเลย ผมถามจริงๆ ว่าภาคอีสานภาคใหญ่ขนาดนั้น จะมอบให้ส.ส.ทำงานเป็นเรื่องเป็นราวเพื่อเอาสมาชิกเข้าพรรค และให้เขาทำหน้าที่บ้างมันจะเป็นอะไรนักหนา” ทนายคารม ทิ้งท้าย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง