ปรับครม.กู้วิกฤติ โควิด-กักตุนหน้ากาก คอลัมน์... ล่าความจริง..พิกัดข่าว โดย... ปกรณ์ พึ่งเนตร
ปัญหาการรับมือการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซ้ำด้วยข้อกล่าวหาแรงๆ ว่าด้วยคนในรัฐบาลอาจจะเกี่ยวพันกับขบวนการกักตุนหน้ากากอนามัย ทำให้คะแนนนิยมของรัฐบาลและ “นายกฯ ลุงตู่” ดิ่งลงอย่างหนัก เรียกว่าเจอพิษ “โควิด” จนเข้าขั้น “โคม่า”
ถึงนาทีนี้กระแสปรับ ครม.มาแรงอย่างยิ่ง (จริงๆ มาแรงน้อยกว่ากระแสให้ลุงตู่ลาออก) โดยรัฐมนตรีอันดับ 1 ที่ถูกเรียกร้องให้ปรับออกคือ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า หรือ “ผู้กองนัส” รมช.เกษตรและสหกรณ์
จะว่าไป “ผู้กองธรรมนัส” ก็โดนกระแสกดดันให้ปรับพ้นครม.มาก่อนแล้ว หลังจากโดนรุมยำในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จนทำให้ได้คะแนนไว้วางใจต่ำสุดในจำนวน 6 รัฐมนตรีที่ถูกอภิปราย ขณะที่ “กลุ่ม 17 ส.ส.” ของพรรคประชาธิปัตย์ก็ออกมาประกาศไม่ไว้วางใจ “ผู้กองธรรมนัส” ด้วยเช่นกัน แต่อ้างว่าต้องจำยอมต้องโหวตไว้วางใจตามมติพรรค
ล่าสุด “สหายผู้กอง” ยังมาโดนกระแสพัวพันขบวนการกักตุนหน้ากากอนามัยซ้ำอีก แม้เจ้าตัวจะยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้อง แต่กระแสเรียกร้องให้ลาออกก็หยุดไม่อยู่ มีทั้งจากในพรรค นอกพรรค โดยเฉพาะประชาธิปัตย์ถึงขนาดใช้วาทกรรม “หยุดพายเรือให้โจรนั่ง”
งานนี้ต้องวัดใจนายกฯ ว่าจะเอาอย่างไร เพราะ “ผู้กองธรรมนัส” มีผลงานพา ส.ส.เหนือตอนบน ตอนล่าง และอีสานบางส่วน เข้าสภาให้พรรคพลังประชารัฐจำนวนมากจนสามารถตั้งรัฐบาลได้ ทั้งยังทำหน้าที่ “คนเลี้ยงลิง” คอยแจกกล้วยดูแลพรรคเล็กที่ออกมาเรียกร้องเขย่ารัฐบาลอยู่เนืองๆ ด้วย ถือว่ามีบทบาทสูงมากต่อเสถียรภาพรัฐบาล
และเจ้าตัวก็เพิ่งออกมายืนกรานแบบมั่นใจว่าถึงอย่างไรก็ไม่ลาออก
การปรับ ครม.ดูจะเป็นจังหวะก้าวการเมืองที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะ
1.นายดอน ปรมัตถ์วินัย น่าจะลาออกจากตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ค่อนข้างแน่ จึงต้องมีการปรับ ครม.
2.พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคต้องการปรับ ครม. เพื่อเพิ่มโควตาให้พรรคตัวเอง โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทยที่ได้ ส.ส.อดีตอนาคตใหม่ เพิ่มมา 9 คน และพรรคเล็ก 4 พรรคที่ไปรวมตัวกันเป็น “กลุ่มกิจสังคมใหม่” มีเสียงสนับสนุน 7 เสียง ถ้ารวมกับพรรคเล็กที่เหลือก็จะมีเสียงสนับสนุนสิบกว่าเสียง น่าจะได้รัฐมนตรี 1 เก้าอี้
3.กลุ่มก๊วนต่างๆ ภายในพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งมีราวๆ 6 กลุ่ม ก็มีกระแสเรียกร้องจากบางกลุ่มให้ปรับ ครม. โดยเฉพาะกลุ่มสามมิตร และกลุ่ม “สุชาติ-วิรัช”
แต่ปัญหาคือกลุ่มที่เหลือแม้ไม่ได้ขอตำแหน่งแต่ก็ไม่ยอมเสียเก้าอี้ที่นั่งอยู่ ฉะนั้นจึงเป็นโจทย์ยากของ “นายกฯ ลุงตู่” ว่าจะปรับ ครม.อย่างไร เนื่องจากดูตอนนี้มีเก้าอี้รัฐมนตรีว่างแค่ 2 เก้าอี้ คือ นายดอนที่มีแนวโน้มลาออกแน่ๆ กับ “ผู้กองธรรมนัส” ถ้าถูกปรับออก
หากนำ 2 เก้าอี้นี้ไปเพิ่มให้พรรคภูมิใจไทย กับกลุ่มกิจสังคมใหม่ เก้าอี้ที่ว่างอยู่ก็จะหมดลง แล้วกลุ่มต่างๆ ในพรรคพลังประชารัฐจะทำอย่างไร
เมื่อเจาะลึกเข้าไปในพรรคพลังประชารัฐ ตำแหน่งรัฐมนตรีมีทั้งโควตากลาง คือโควตานายกฯ กับโควตาของกลุ่มต่างๆ ภายในพรรค ปัจจุบันนับได้ 6 กลุ่มเป็นอย่างน้อย เริ่มจากกลุ่มสามมิตร, กลุ่ม “สุชาติ ชมกลิ่น-วิรัช รัตนเศรษฐ”, กลุ่มผู้กองธรรมนัส, กลุ่ม กทม., กลุ่มภาคใต้ หรือกลุ่มด้ามขวานไทย และกลุ่มสนธิรัตน์
จะเห็นได้ว่าแต่ละกลุ่มมีตำแหน่งรัฐมนตรีอยู่ในครอบครอง ยกเว้นกลุ่มภาคใต้ที่มี ส.ส.13 คน แต่ไม่ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีเลยแม้แต่ตำแหน่งเดียว ขณะที่กลุ่มสนธิรัตน์ ที่นำโดยนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคและรัฐมนตรีพลังงาน ไม่มี ส.ส.เลย แต่กลับมีเก้าอี้รัฐมนตรีถึง 3 เก้าอี้ (สนธิรัตน์, อุตตม, สุวิทย์) ทำให้ระยะหลังต้องดึง ส.ส.มาเป็นฐาน
นี่คือความยุ่งยากของการปรับครม. เพราะทั้ง 6 กลุ่ม มีทั้งที่ต้องการเก้าอี้รัฐมนตรีเพิ่ม หรือไม่ขอเพิ่มแต่ก็กางปีกรักษาเก้าอี้เดิมเอาไว้ ขณะที่บางกลุ่มที่ยังไม่เคยได้ ก็ต้องขอเก้าอี้บ้างในการปรับ ครม.หนนี้ เช่นกลุ่มภาคใต้ แต่เก้าอี้รัฐมนตรีทั้งหมดมีเท่าเดิม
คำถามคือใครจะต้องเป็นผู้เสียสละ?
ทางออกที่พอมองเห็นก็คือ นายกฯ อาจต้องสละ “โควตากลาง” นอกจากนายดอนที่จะลาออกอยู่แล้ว ก็ยังเหลือตำแหน่ง รมช.กลาโหม ของ พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล
ทว่ากลุ่มก๊วนในพรรคพลังประชารัฐที่รอเก้าอี้อยู่มีมากกว่าตำแหน่งว่าง และที่ผ่านมาก็เคลื่อนไหวแสดงพลังกันเป็นระยะ เช่น กลุ่มสามมิตร กับกลุ่ม “สุชาติ-วิรัช” ก็ผลักดัน “2 ฮ.” คือ “เสี่ยแฮงก์” อนุชา นาคาศัย กับ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น นั่งเก้าอี้รัฐมนตรี นี่ยังไม่นับเสียงเรียกร้องให้รื้อใหญ่ทีมเศรษฐกิจอีกด้วย
ทั้งหมดจึงเป็นโจทย์ยากที่จะวัดบารมี “นายกฯ ลุงตู่” ว่ายังมี “กำลังภายใน” มากพอที่จะจัดการทุกอย่างให้ลงตัว หรือจะเริ่มนับถอยหลังจมรัฐนาวา
หรืองานนี้จะมีขับบางพรรคออกจากการร่วมรัฐบาล แล้วดึงพรรคเพื่อไทยเข้ามาเสียบแทน ตามที่เคยมีสูตรการเมือง “รัฐบาลเสียงท่วมท้น” มาก่อนหน้านี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง