คอลัมนิสต์

"เพื่อไทย-อนาคตใหม่" รอยร้าวที่ยากเกินประสาน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

จากที่เคยเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ มาเวลานี้กลายเป็นฝ่ายค้านต่างหากที่กำลังเผชิญกับสถานการณ์ปริ่มน้ำ

 

 


          ภายหลังผลการลงมติไว้วางใจพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ถึง 277 เสียง ทำให้รู้ถึงสถานะของฝ่ายค้านแล้ว ณ จุดนี้เหลือเพียง 211 คนเท่านั้น

 

          นัยของเสียงที่ห่างกันถึง 66 เสียงขนาดนี้ แน่นอนว่าจะมีผลให้การทำงานในสภาของฝั่งรัฐบาลเป็นไปได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น เพราะอย่างน้อยไม่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่คะแนนโหวตสูสีจนต้องนับคะแนนใหม่เหมือนกับเมื่อครั้งการพิจารณาญัตติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษามาตรา 44 รวมไปถึงไม่ต้องเผชิญกับสภาพองค์ประชุมล่มจนทำลายภาพลักษณ์ของรัฐบาลและรัฐสภาแบบที่ผ่านมา

 


         คะแนนที่เทมายังรัฐบาลนั้นส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนค่ายของส.ส.พรรคอนาคตใหม่ที่เพิ่งถูกยุบไปถึง 10 คน ประกอบด้วย 1.นายกฤติเดช สันติวชิระกุล ส.ส.แพร่ 2.นายกิตติชัย เรืองสวัสดิ์ ส.ส.ฉะเชิงเทรา 3.นายฐิตินันท์ แสงนาค ส.ส.ขอนแก่น 4.ร.ต.ต.มณฑล โพธิ์คาย ส.ส.กทม. 5.นายวิรัช พันธุมะผล ส.ส.บัญชีรายชื่อ


          6.นายโชติพิพัฒน์ เตชะโสภณมณี ส.ส.กทม. 7.นายสมัคร ป้องวงษ์ ส.ส.สมุทรสาคร 8.นายสำลี รักสุทธี ส.ส.บัญชีรายชื่อ 9.นายอนาวิล รัตนสถาพร ส.ส.ปทุมธานี และ 10.นายเอกการ ซื่อทรงธรรม ส.ส.แพร่


          การปันใจของส.ส.ทั้ง 10 คนนำมาซึ่งแรงกระเพื่อมทั้งภายในพรรคอนาคตใหม่และพรรคร่วมฝ่ายค้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


          ผลกระทบที่เกิดขึ้นภายในพรรค ปฏิเสธไม่ได้ว่าจะกระทบต่อตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการสามัญในสัดส่วนของพรรคอนาคตใหม่ เดิมพรรคอนาคตใหม่มีทั้งหมด 6 ตำแหน่งบนพื้นฐานของการมี ส.ส. 80 คน แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปถึงสองครั้งตั้งแต่การยุบพรรคอนาคตใหม่ที่มีผลให้ ส.ส.ที่เป็นกรรมการบริหารพรรคถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ต้องพ้นจากตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการ 2 คน ได้แก่ ปิยบุตร แสงกนกกุล และ พล.ท.พงศกร รอดชมภู ประกอบกับ มี ส.ส.ของอดีตพรรคอนาคตใหม่ย้ายพรรค 10 คน ทำให้อำนาจในทางการเมืองในสภาของกลุ่มอนาคตใหม่ต้องเปลี่ยนแปลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้




          อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรที่จะเป็นการการันตีว่าอนาคตใหม่จะไม่เลือดไหลอีก เนื่องจากการย้ายพรรคยังเกิดขึ้นได้ทุกเวลาจนกว่าจะครบกำหนด 60 วันตามรัฐธรรมนูญในช่วงปลายเดือนเมษายน นับตั้งแต่ยุบพรรค


          ไม่เพียงเท่านี้ ความร้าวฉานในระหว่างพรรคร่วมฝ่ายค้านก็ทวีรอยร้าวไม่แพ้กัน ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ ส.ส.กลุ่มอนาคตใหม่ไม่ได้อภิปรายตามเวลาที่กำหนดไว้ เนื่องจากถูกพรรคเพื่อไทยเผาเวลาในช่วงวันสุดท้ายของการอภิปราย จนกลายเป็นคำถามที่ปิยบุตรกังขาพรรคเพื่อไทยว่า “มวยล้มต้มคนดู”


          ตลอดการอภิปรายกว่า 4 วันที่ผ่านมานั้น ส.ส.อนาคตใหม่ถูกพรรคเพื่อไทยในฐานะพี่ใหญ่ของฝ่ายค้านดัดหลังเป็นระยะ โดยเฉพาะการกำหนดช่วงเวลาของการอภิปราย ซึ่งจะสังเกตเห็นได้ว่าทีมงานของกลุ่มอนาคตใหม่ได้ทำสื่อประชาสัมพันธ์ว่า ส.ส.จะอภิปรายในช่วงเวลาใดของแต่ละวันบ้าง และขอให้ประชาชนติดตามในช่วงเวลานั้น แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลากลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะช่วงเวลาที่อนาคตใหม่ได้แจ้งผ่านสื่อของตัวเองเอาไว้กลับเป็นคิวการอภิปรายของพรรคเพื่อไทย จนทำให้ ส.ส.ของอนาคตใหม่ต้องถูกเลื่อนไปอภิปรายในช่วงกลางดึก ทั้งในเรื่องการทำปฏิบัติการทางข่าวสารและคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์


          ยิ่งไปกว่านั้นการประสานงานภายในพรรคฝ่ายค้านเองก็ถูกตัดตอนเป็นระยะ เมื่อเกิดการประชุมวิปฝ่ายค้านสองวง วงแรกเป็นวงระหว่างตัวแทนจากพรรคเพื่อไทยและอนาคตใหม่ ซึ่งเมื่อได้ข้อตกลงในเรื่องใดแล้วตัวแทนของแต่ละพรรคจะไปแจ้งกันภายในพรรคตามขั้นตอน ทว่ากลับมีวงประชุมฝ่ายค้านวงที่ 2 ที่มีเฉพาะ ส.ส.พรรคเพื่อไทยและทีมยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย


          วงประชุมที่สองนี้เองที่ใช้สิทธิในฐานะ “ผู้ใหญ่ของพรรคเพื่อไทย” หักข้อตกลงร่วมกันระหว่างตัวแทนของพรรคเพื่อไทยและอนาคตใหม่ จนเกิดเหตุการณ์เผาเวลาในการอภิปรายเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ที่มี ส.ส.ฝ่ายค้านได้อภิปรายแค่ 3 คน ก่อนจบการอภิปรายในเวลา 19.00 น.


          จริงๆ แล้วความผิดปกติที่ว่านี้ ส.ส.อนาคตใหม่เริ่มสัมผัสได้แล้ว ตั้งแต่การย้ำว่าการอภิปรายจะสิ้นสุดลงในเวลา 19.00 น.หลายครั้ง ทั้งๆ ที่ตามปกติของสภาแล้ว หากเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจวันสุดท้ายจะเปิดโอกาสให้ ส.ส.อภิปรายได้ถึงเวลา 21.00 น. เพื่อเผื่อเวลาให้ประธานวิปฝ่ายค้านอภิปรายสรุป 2 ชั่วโมง และสามารถปิดประชุมได้ก่อนเที่ยงคืนในวันดังกล่าว


          เมื่อสัญญาณออกมาเช่นนั้น ‘ปิยบุตร’ เองก็ไม่ได้เฉลียวใจอะไร เพราะเชื่อว่าถึงที่สุดแล้วสภาจะเดินตามแนวทางปฏิบัติข้างต้นด้วยการยอมให้การอภิปรายของ ส.ส.ไปสิ้นสุดในเวลา 21.00 น. แต่ความเชื่อกับความจริงต่างกันสิ้นเชิง เพราะการประชุมวิปรัฐบาลกับฝ่ายค้านระยะหลัง พรรคเพื่อไทยไม่ได้เชิญตัวแทนของอนาคตใหม่เข้าไปร่วมประชุมด้วย การไปรับปากกับวิปรัฐบาลของวิปฝ่ายค้านที่ไม่มีตัวแทนของอนาคตใหม่จึงทำให้อนาคตใหม่มองว่านี่เป็นมวยล้มต้มคนดูของพรรคเพื่อไทย จนในที่สุดพรรคอนาคตใหม่ต้องมาอภิปรายนอกสภา


          ภาวะเช่นนี้ แม้ว่าแกนนำของพรรคเพื่อไทยหลายคนมองว่าไม่น่าจะส่งผลกระทบและน่าจะประสานรอยร้าวกันได้เหมือนกับระบบการเมืองเก่าๆ ที่เคยดำเนินกันมา แต่ใครจะไปรู้ว่า ส.ส.อนาคตใหม่ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง อาจรับไม่ได้กับระบบการเมืองแบบเดิม และคงสิ้นสุดความเป็นพันธมิตรต่อกันเพียงเท่านี้ และหันหน้ามุ่งสู่การเมืองนอกสภาแทน

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ