คอลัมนิสต์

เร่งระดมหมอผ่าตัด

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เร่งระดมหมอผ่าตัด บทบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก ฉบับวันเสาร์-อาทิตย์ที่ 22-23 กุมภาพันธ์ 2563

 

 


          จนถึงขณะนี้ จำเป็นที่รัฐบาลและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาประเทศ ต้องตระหนักว่า ความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและมาเลเซียนั้นอยู่ในสภาพติดลบ และกำลังจะถอยหลังเข้าคลองอยู่รอมร่อ หากไม่มียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม ดูที่ตัวเลขการส่งออกของเวียดนามเมื่อ 11 เดือนของปีที่แล้วอยู่ที่ 251,662 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นกว่า 10% และสูงกว่าไทย 24,572 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ไทยมีมูลค่า 227,090 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ติดลบ 2.77% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จึงถือได้ว่า ปี 2562 ที่เพิ่งผ่านพ้นมากเพียง 2 เดือนนี้ เวียดนามได้สร้างสถิติอย่างที่ไทยเองก็หวั่นเกรงว่าจะต้องเกิดขึ้นจนได้

 

 

          ปัญหาการส่งออกสินค้าของไทยนั้น จุดใหญ่ก็มาจากเรื่องผลิต ภาพการผลิตของประเทศไทยอันหมายถึง ทำงานได้ดีขึ้น เก่งขึ้น โดยใช้ทรัพยากรในปริมาณเท่าเดิม จะช่วยให้เกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ วันก่อนนายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) อธิบายว่า ประสิทธิภาพการผลิตโดยรวมของเศรษฐกิจไทยยังอยู่ค่อนข้างต่ำ ขณะที่ประเทศอื่นๆ ไปเร็วมาก เมื่อ 30 ปีที่แล้ว ประสิทธิภาพการผลิตของไทยใกล้เคียงกับมาเลเซีย และสูงกว่าอินเดียราว 40% แต่ปัจจุบันประสิทธิภาพการผลิตของมาเลเซียเพิ่มสูงกว่าไทย 30% ผู้ว่าการธปท.แนะนำว่า หากจะใช้มาตรการระยะสั้นก็ทำได้ สำหรับกรณีเฉพาะหน้า แต่ในระยะยาวต้องมียุทธศาสตร์ส่งเสริมต่อเนื่อง หาไม่แล้วจะไม่สามารถแก้ปัญหาผลิตภาพต่ำได้


          นอกจากปัญหาด้านผลิตภาพที่ต่ำกว่าเพื่อนบ้านแล้ว ประเทศไทยยังมีปัญหาด้านแรงงาน ซึ่งมีมากถึง 1 ใน 3 ของไทย ที่อยู่ในภาคเกษตรกรรม และประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน ช่องว่างประสิทธิภาพการผลิตระหว่างผู้ประกอบการรายใหญ่และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ขยายกว้างขึ้น จนเกิดปรากฏการณ์ปลาใหญ่กินปลาเล็กรุนแรงตามมา และเมื่อเอสเอ็มอีแข่งขันไม่ได้ ค่าจ้างแรงงานก็จะถูกกดให้อยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญกับกฎเกณฑ์ข้อบังคับของทางการที่ซ้ำซ้อนหรือล้าสมัย และเป็นอุปสรรคในการเพิ่มผลผลิตของประเทศ และท้ายที่สุดคือ นโยบายรัฐหลายเรื่องที่ต่อเนื่องมาจากอดีตไม่เอื้อต่อการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตของผู้ประกอบการ

 



          ตัวเลขความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2563 ที่ 1.5% ตามข้อมูลการแถลงของสภาพัฒน์ชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจของประเทศอยู่ในภาวะวิกฤติจริงๆ เนื่องจากสารพัดปัญหาที่เป็นตัวแปรเพิ่มเข้ามาจากเดิมที่คาดว่าจีดีพีจะอยู่ที่ 2.8% กลับต้องปรับลดลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม สัญญาณลบด้านการส่งออกเมื่อปีที่แล้วที่พ่ายแพ้ครั้งแรกกับเวียดนาม ประกอบกับความสามารถในการแข่งขันของไทยที่ลดน้อยถอยลง เป็นหลักฐานชัดเจนที่รัฐบาลไม่อาจจะเถียงได้อีกแล้ว มาตรการระยะสั้นที่รัฐบาลจะคลอดออกมากลางเดือนมีนาคมนี้ก็คงจะเป็นเพียงการให้ยาระงับอาการเจ็บปวดครั้งคราว ทั้งๆ ที่อาการประเทศขณะนี้อยู่ในขั้นต้องหามเข้าห้องไอซียูเพื่อผ่าตัด ซึ่งก็น่าสงสัยว่า ทีมผ่าตัดจะเป็นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหรือหมอให้ยาพื้นบ้าน

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ