คอลัมนิสต์

เรื่องลับๆ "ทักษิณ" กับที่ดินอัลไพน์

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เรื่องลับๆ "ทักษิณ" กับที่ดินอัลไพน์ คอลัมน์... กระดานความคิด โดย... บางนา บางปะกง

 

 

 

          เป็นข่าวไปแล้วกรณี ยงยุทธ วิชัยดิษฐ ต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ เมื่อศาลฎีกาไม่ให้ยื่นฎีกา จึงรับโทษจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา เนื่องจากสมัยที่เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้เพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน โดยมีเจตนาช่วยเหลือบริษัท อัลไพน์เรียลเอสเตท จำกัด บริษัท กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด และผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ได้รับประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย

 

 

          รายละเอียดของคดีอัลไพน์คงจะไม่นำมาเล่าซ้ำ แต่อยากนำเสนอ “เรื่องเล่า” จากวงในมาเผยแพร่อีก เผื่อหลายคนลืม และเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ไม่เคยทราบมาก่อน


          สรุปสั้นๆ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2512 นางเนื่อม ชำนาญชาติศักดา บริจาคที่ดินจำนวน 924 ไร่ 2 งาน 75 ตารางวา ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ให้วัดธรรมิการามวรวิหาร ต่อมาวันที่ 31 สิงหาคม 2533 ที่ดินซึ่งเป็นธรณีสงฆ์ถูกขายและโอนให้บริษัท อัลไพน์เรียลเอสเตท จำกัด และบริษัท อัลไพน์กอล์ฟแอนด์ สปอร์ต คลับ จำกัด ในราคา 130 ล้านบาท

 

 

 

เรื่องลับๆ "ทักษิณ" กับที่ดินอัลไพน์

ทักษิณ ในสนามกอล์ฟอัลไพน์ เมื่อปี 2542

 


          สองบริษัทดังกล่าวขณะนั้นมีผู้ถือหุ้นคือ เสนาะ เทียนทอง, วิทยา เทียนทอง และอุไรวรรณ เทียนทอง มีนักการเมืองชื่อดังอีกหลายคนรวมถึง “เฮียเพ้ง” พงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล


          ปี 2549 สำนักพิมพ์มติชน ได้จัดพิมพ์หนังสือชื่อ “ฉะแฉ ฉาว นักการเมืองไทย” โดยทีมข่าวการเมืองมติชน ซึ่งเป็น “ปากคำ” ของนักการเมืองและอดีตนายทหาร-ตำรวจ ที่ได้บอกเล่าเบื้องหน้าเบื้องหลังของสถานการณ์การเมืองในอดีต


          “เฮียเพ้ง” เปิดใจครั้งแรกเกี่ยวกับสนามกอล์ฟอัลไพน์ โดย “เฮียเพ้ง” เป็นตัวเชื่อมประสานกับ “ทักษิณ ชินวัตร” จนเกิดการซื้อขายสนามกอล์ฟ และกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต


          ปี 2539-2540 เกิดวิกฤติฟองสบู่แตก เศรษฐกิจไทยอาการโคม่า กลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์ล้มระเนนระนาด และสนามกอล์ฟอัลไพน์ก็หนีไม่พ้น เสนาะ เทียนทอง จึงตะเกียกตะกายหาทางขายสนามกอล์ฟ

 

 

 

เรื่องลับๆ "ทักษิณ" กับที่ดินอัลไพน์

 


          “ตอนนั้นผมถือหุ้นอยู่ในสนามกอล์ฟแค่ 3 เปอร์เซ็นต์ แต่มีชื่อผมค้ำประกันธนาคารในการนำเงินมาลงทุนสนามกอล์ฟแห่งนี้อยู่ 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม ตอนนั้นที่คิดจะขายเพราะมีหนี้มหาศาล ที่สำคัญไม่มีใครกล้ามาบริหาร ถ้านายกฯ (ทักษิณ ชินวัตร) ไม่มาซื้อ คงเป็นหนี้หัวโต ตอนนั้นผมก็ไม่เอาแล้ว เมื่อท่านมีน้ำใจมาซื้อ ผมก็ตัดสินใจไปช่วยท่านตั้งพรรคการเมือง”


          เหตุที่ ทักษิณ ชินวัตร มาชวน “เฮียเพ้ง” นั้น เพราะทราบดีว่า “เฮียเพ้ง” เคยร่วมกับ อุทัย พิมพ์ใจชน ก่อร่างสร้างพรรคก้าวหน้า พรรคเอกภาพ และพรรคความหวังใหม่ มีประสบการณ์การเมือง และรู้จักอดีต ส.ส.สายอีสานจำนวนหนึ่ง


          “จากที่ได้พูดกันหลายเรื่อง ทั้งบ้านเมือง ธุรกิจและกีฬา ก็ทราบว่าท่านอยากมีสนามกอล์ฟเป็นของตัวเอง ผมจึงเอ่ยปากกับท่านว่าสนใจซื้อสนามกอล์ฟอัลไพน์หรือไม่ เพราะขณะนั้นสนามกอล์ฟอัลไพน์เป็นสนามที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย” 


          สมัยนั้นทักษิณยังไม่ตั้งพรรคไทยรักไทย มีเวลาไปตีกอล์ฟที่สนามอัลไพน์อยู่บ่อยๆ แต่ไม่สนใจเรื่องซื้อขาย “เฮียเพ้ง” เจอหน้าคราใดก็แนะนำให้ไปดูที่ดินและสนามกอล์ฟอย่างเป็นจริงเป็นจัง “ท่านถามราคาผม เพราะตอนนั้นเศรษฐกิจมันตก ทำให้ราคาที่ดินและทุกอย่างตกหมด ผมก็บอกไปว่าตกไร่ละ 9 ล้านกว่าบาท 400 ไร่ก็ประมาณ 500 ล้านบาท ถือว่าถูก”


          ปลายปี 2542 จึงเริ่มมีการตกลงซื้อขาย โดยเฮียเพ้งยืนยันว่ามีการเจรจาและจบลงที่การทำธุรกรรมนั้น เป็นเรื่องของเขาคนเดียวล้วนๆ เสนาะ เทียนทอง ไม่ได้เข้ามาช่วยเหลืออะไร หลังจากซื้อขายสนามกอล์ฟเรียบร้อย ทักษิณจึงชวนเฮียเพ้งไปตั้งพรรคไทยรักไทย 


          “ผมคิดนะ...คิดอยู่นาน และย้อนกลับไปวันที่ท่านช่วยซื้อสนามกอล์ฟปลดหนี้ปลดสิน จึงคิดว่าควรจะตอบแทนน้ำใจท่านบ้าง”


          เมื่อเฮียเพ้งตัดสินใจแล้วก็ไปบอก เสนาะ เทียนทอง ซึ่งตอนนั้นกลุ่มวังน้ำเย็นยังอยู่กับพรรคความหวังใหม่ แต่มีปัญหาความขัดแย้งกันสูง ระหว่างกลุ่ม ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง กับกลุ่มเสนาะ แต่เฮียเพ้งก็ไม่ได้คาดหวังว่าเสนาะจะตามไปพรรคไทยรักไทยด้วย


          ต้นปี 2543 เฮียเพ้งไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย หลังจากนั้นไม่นาน เสนาะก็พาอดีต ส.ส.กลุ่มวังน้ำเย็นเข้ามาอยู่พรรคการเมืองของทักษิณ


          นี่เป็นเกร็ดเรื่องเล่า “บุญคุณต้องทดแทน” ของเฮียเพ้งกับทักษิณ ส่วนเรื่องกรรมใดใครก่อ ย่อมได้รับผลกรรมนั้น ก็ตัวใครตัวมันในยามนี้ 


 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ