คอลัมนิสต์

ผนึกทีมฝ่าฟันงานหิน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ผนึกทีมฝ่าฟันงานหิน บทบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก ฉบับวันพุธที่ 29 มกราคม 2563

 

 


          ประมาณการกันว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวจากจีนจะลดลงเหลือประมาณ 10.94-10.77 ล้านคน หรือลดลงประมาณ 1-2 ล้านคน คิดเป็น 0.5%-2.0% อันเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรนาจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ซึ่งพบการแพร่ระบาดตั้งแต่เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ซึ่งหากถึงต้นเดือนมีนาคม 2563 ยังไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ จะส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวของไทยหดตัวลงประมาณ 80,000-120,000 ล้านบาท และทำให้รายได้มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ลดลงจากที่เคยคาดการณ์เอาไว้ว่าจะให้แตะที่ระดับ 3% ก็จะหดตัวลงอีก 0.5-0.7 ของปีนี้ ขณะที่จีดีพีของเอเชียและจีนก็จะหดตัวลงเช่นกัน

 

อ่านข่าว...  บิ๊กตู่ เซ็งไวรัสโคโรนา ทำท่องเที่ยวมีปัญหา

 

 

          ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินผลกระทบต่อตลาดนักท่องเที่ยวจากจีนในกรณีการระบาดของเชื้อไวรัสนานไม่เกิน 1 เดือนภายใต้สถานการณ์ที่ทางการจีนสามารถควบคุมโรคได้อย่างรวดเร็ว ดังจะเห็นได้จากการออกมาตรการขั้นสูงเพื่อควบคุมและหยุดการแพร่ระบาด ขณะเดียวกันก็ไม่แพร่ระบาดในประเทศไทยหรือประเทศอื่นๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในระยะสั้นไม่เกิน 1 เดือน เบื้องต้นอาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดนักท่องเที่ยวจีนโดยเฉพาะจากเมืองอู่ฮั่น แต่ไม่ส่งผลกระทบถึงภาพรวมของตลาดนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยและการเดินทางท่องเที่ยวของชาวต่างชาติที่เป็นตลาดเป้าหมายของไทย คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะมีประมาณ 11.10-11.30 ล้านคน


          ในอีกด้านหนึ่งหากสถานการณ์ไม่เป็นไปดังคาดหวัง คือไวรัสปอดอักเสบแพร่ระบาดนานถึง 1-3 เดือนภายใต้สถานการณ์ที่ทางการจีนอาจต้องใช้ระยะเวลาในการควบคุมนานขึ้นก็จะเริ่มส่งผลกระทบต่อตลาดนักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวไทย แม้จะยังไม่พบการแพร่ระบาดในไทยหรือประเทศอื่นๆ แต่ระยะเวลาที่ยาวนานขึ้นจะส่งผลกระทบต่อภาวเศรษฐกิจของจีนเองซึ่งจะสะท้อนมาเป็นผลลบต่อกำลังซื้อของประชาชนชาวจีน รวมถึงบรรยากาศและความต้องการเดินทางท่องเที่ยวของคนจีน ซึ่งอาจปรับเปลี่ยนจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวไปยังแหล่งท่องเที่ยวที่ปลอดภัย หรือไม่มีข่าวการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา

 



          แม้ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะถือเป็นรายได้หลักที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตเศรษฐกิจของประเทศ แต่ก็ยังมีอีกหลายตัวแปรที่จะช่วยฉุดดึงไม่ให้เศรษฐกิจทรุดไปกว่านี้อีก อย่างเช่น การเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐที่มีแนวโน้มว่าอาจจะยืดเยื้อออกไปนานนับเดือน ปัญหาภัยแล้งอันจะทำให้ภาคเกษตรกรรมถึงขั้นวิกฤติได้และทำให้การจับจ่ายใช้สอยในประเทศลดลงไปด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีปัญหาฝุ่นพิษพีเอ็ม 2.5 ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากกิจกรรมสร้างรายได้ทั้งภาคเกษตรและอุตสาหกรรมนั่นเอง ตามด้วยค่าเงินบาท และการส่งออกของไทยที่ยังอยู่ในช่วงขาลง เหล่านี้นับเป็น “งานหนัก” ของรัฐบาล และทีมเศรษฐกิจ ที่จะต้องฝ่าฟันไปให้ได้ สิ่งสำคัญก็คือการทำงานเป็นทีมประสานสอดคล้องกับทุกภาคส่วน

 


 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ