คอลัมนิสต์

ตอบทุกคำถาม ปริญญ์ ถึง กรณ์

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ตอบทุกคำถาม ปริญญ์ ถึง กรณ์ คอลัมน์...  Exclusive Talk

 

 

          เป็นหนึ่งในโครงสร้างพรรคประชาธิปัตย์ยุคอเวนเจอร์ ในทีม “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” ในบทบาทมือเศรษฐกิจของพรรค เมื่อ “ปริญญ์ พานิชภักดิ์” ลูกชาย “ศุภชัย พานิชภักดิ์” อดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) ตัดสินใจเปิดโลกใบใหม่ของตัวเอง เข้าสู่วงการการเมืองเต็มตัว

 

 

          ไม่ใช่แค่ตำแหน่ง “รองหัวหน้าพรรค” เท่านั้น แต่ก้าวสำคัญครั้งนี้ “ปริญญ์” ได้รับผิดชอบภารกิจในปีกหัวหน้าทีมเศรษฐกิจคนใหม่ นำประสบการณ์ในสายภาคเอกชนทั้งชีวิต มาปรับใช้ในงานการเมืองท่ามกลางพายุวิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังท้าทายประเทศ มาวันนี้ “ปริญญ์” ให้สัมภาษณ์พิเศษ “เนชั่นสุดสัปดาห์” เพื่อตอบทุกคำถามที่พุ่งเป้ามาที่ตัวเขาไว้อย่างน่าสนใจ


          เริ่มต้น “ปริญญ์” บอกถึงช่วงเวลา 8 เดือนที่เข้ามาร่วมงานกับประชาธิปัตย์เต็มตัว เป็นความรู้สึกดีใจที่มีส่วนร่วมในงานที่อยากทำมาตลอดชีวิต ในการทำหน้าที่เพื่อสังคม ภายหลังอยู่กับภาคเอกชนมานาน ได้เรียนรู้วิธีการทำงาน ถือว่าสนุก ได้เรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลาทุกวัน ตลอด 8 เดือนที่ผ่านมาไปต่างจังหวัด 30-40 จังหวัดเพื่อเก็บข้อมูลและรับฟังปัญหาปากท้อง ซึ่งในหลายปัญหารู้อยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร แต่เมื่อลงพื้นที่ทำให้ยิ่งเข้าใจมากขึ้นว่าจุดที่เป็นคอขวดที่มันติดอยู่คืออะไร หากมีเรื่องใดที่ทำได้จะทำทันที ส่วนเรื่องที่ยังแก้ไม่ได้เพราะต้องใช้งบประมาณเยอะ หรือใช้กลไกรัฐมาขับเคลื่อนก็ไปหารือกับฝั่งกระทรวง


          “พรรคประชาธิปัตย์ถือว่าเปิดโอกาสให้ผมอย่างมากที่สุด ท่านรองฯ จุรินทร์ ได้เปิดโอกาสให้ทีมเศรษฐกิจทันสมัยของพรรคประชาธิปัตย์ทำงานได้อย่างเต็มที่ และท่านเน้นเสมอว่าอยากให้ลงพื้นที่เยอะๆ เพื่อรับฟังปัญหาจากประชาชน แล้วนำกลับมาแก้ไขผ่านกลไกที่เรามี ทั้งจากพรรค ฝั่งกระทรวง รวมถึงเครือข่ายที่เรามี”


          จากเคยเป็นบุคคลที่อยู่วงนอก แต่เมื่อเข้ามาในภาคการเมืองเป็นไปตามที่เคยมองไว้หรือไม่ “ปริญญ์” บอกว่าไม่ได้แตกต่างกันมาก ตัวเองก็ไม่ได้เป็นคนนอกมาตลอด เพราะช่วงอายุ 9 ขวบในปี 2529 เคยไปช่วยคุณพ่อเดินหาเสียง ก็รู้สึกว่ารู้จักพรรคประชาธิปัต์มานานพอสมควร ทำให้รู้ว่าพรรคประชาธิปัตย์มีดีเอ็นเออย่างไร หรือมีผู้คนชอบหรือไม่ชอบอะไร เมื่อได้เข้ามาทำงานจริงๆ ก็ไม่ได้รู้สึกผิดแปลกไปจากความคาดหมาย




          “หลายๆ อย่างที่ได้ทำไม่รู้สึกเป็นการทำงาน แต่เป็นชีวิตที่ดำเนินอยู่ แล้วทำต่อยอด ผมรู้สึกสนุกกับการลงมือทำ และมีความสุข ไม่ถูกตีกรอบว่าต้องอยู่ที่ประชุม 7 โมงเช้า ต้องนั่งประชุมคณะต่างๆ ต้องบรีฟงาน แต่ตอนนี้ลักษณะงานเปลี่ยนแปลงไป ไม่ต้องเข้างาน 7 โมงเช้าทุกวัน แต่บางทีต้องทำงานถึง 4-5 ทุ่ม ก็เป็นลักษณะที่แตกต่างกัน”


          ถามถึงการทำงาน ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลทำงานมาแล้วกว่า 7 เดือน “ปริญญ์” ชี้ให้เห็นถึงบริบทภาพใหญ่ของรัฐบาลขณะนี้เจอปัญหาเศรษฐกิจที่รุมเร้าระยะสั้น และปัญหาเชิงโครงสร้างเป็นเรื่องระยะยาว แต่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งต้องเรียกภาษาง่ายๆ ว่าไฟลนก้น ทำให้ต้องแก้ปัญหาระยะสั้น อะไรที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจระยะสั้น จึงเห็นภาพมาตรการที่ออกมาตั้งแต่ชิมช้อปใช้ ประกันรายได้เกษตรกร คิดว่าในกรอบที่รัฐบาลทำอยู่ทำได้ดีในระดับหนึ่ง เพียงแต่อย่าทำมากเกินควร ต้องหันมาทำเรื่องระยะยาวบ้าง เมื่อตัวเองไม่ได้อยู่ในคณะรัฐมนตรี ไม่ได้อยู่ทีมงานในกระทรวงไหน ทำให้มีอิสระอย่างเต็มที่ในเรื่องที่ต้องทำในระยะยาว จึงโฟกัสไปที่การสร้างคน และติดอาวุธให้แก่คนตัวเล็กอย่างสตาร์ทอัพ และเอสเอ็มอี รวมถึงเทคโนโลยีทันสมัยนำมาเพิ่มรายได้ ที่ต้องมาคิดเรื่องโครงสร้างระยะยาวตรงนี้


          ส่วน พ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 ที่อาจมีปัญหา จะกระทบกับงบประมาณที่จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแค่ไหน “ปริญญ์” ยอมรับเป็นเรื่องกระทบถ้า พ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 ล่าช้าออกไป 3-4 เดือนในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจยังเติบโตไม่ดีนัก แต่เหนือสิ่งอื่นที่มากกว่าระยะเวลาเป็นเรื่องการใช้งบประมาณให้คุ้มค่า การเบิกจ่ายให้ทันตามแผนงานที่วางไว้ เป็นสิ่งที่รัฐบาลและข้าราชการต้องวางแผนให้ดีจากโอกาสที่ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 จะบังคับใช้ได้ล่าช้า


          ส่วนระยะเวลา 8 เดือนในการทำงานเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ “ปริญญ์” ยืนยันเราไม่ได้ดีแต่พูด แต่ลงมือทำทันที อย่างกรณีพื้นที่ อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด ก็มีการประสานให้ทำฝนหลวงเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งได้ทันที หรือเรื่องราคามังคุดตกต่ำก็ลงพื้นที่ไปทำเลย ไม่ต้องรอกระทรวง จากนั้นให้รอกระทรวงมาช่วย ทำให้เห็นว่าเราเป็นตัวประสานและลงมือทำในพื้นที่เพื่อแก้ปัญหาได้จริง โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและความคิดของคนรุ่นใหม่มาช่วยแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน


          “ปีนี้เรื่องงานมีปัญหา เมื่อเรียนจบคนจะตกงานเยอะ จึงต้องหาอะไรบางอย่างทำให้เรียนจบได้พบงาน จึงสร้างโครงการเรียนจบพบงานให้นักศึกษาที่จะเรียนจบระดับต่างๆ เข้าร่วมโครงการเพื่อฝึกงาน เมื่อเรียนรู้นอกห้องเรียนแล้วโอกาสจะเรียนจบแล้วพบงานจะมีสูงมากขึ้น เป็นสิ่งที่พยายามช่วยตรงนี้ ในช่วงที่เสนอโครงการนี้ ท่านจุรินทร์ก็เห็นด้วยเลย เป็นเรื่องที่เราอยากสร้างทรัพยากรมนุษย์ให้แก่ประเทศ ถึงแม้การสร้างคนต้องใช้เวลา แต่ต้องลงมือทำ และทำต่อเนื่อง”


          “ปริญญ์” บอกว่าจริงๆ แล้วพรรคไม่ได้อยากเสียคนดีๆ ออกไป แต่คนดีๆ ที่เดินเข้ามาพรรคก็มีเยอะ แถมคนดีๆ ที่อยู่ในพรรคทำงานหนักไม่ได้ออกสื่อมากก็มีเยอะ หลายคนเหล่านั้นก็มาช่วยทีมเศรษฐกิจ โดยวิธีการทำงานเราเปิดใจ ไม่เคยปิดกั้นในทุกช่องทาง ในการสมัครเป็นส่วนหนึ่งของทีมเศรษฐกิจ น้องๆ หลายคนที่มาช่วยงานก็ไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่เขาเก่งมีความสามารถ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก และทีมเศรษฐกิจพร้อมต้อนรับเสมอ หากใครมีความรู้ด้านไหนเดินเข้ามาได้เลย


          ถามย้ำถึงประชาธิปัตย์ไม่ได้เลือดไหลตามภาพที่ออกไปใช่หรือไม่ “ปริญญ์” บอกว่า มีบางคนที่ออกไป สิ่งที่ตัดสินใจเราก็เคารพตรงนั้น แต่เราไม่ได้หยุดนิ่ง เราไม่ใช่ไดโนเสาร์ คิดว่าหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้เปลี่ยนวิธีการทำงานแล้ว ได้เลือกทีมใหม่ๆ คนทำงานใหม่ๆ เข้ามา เพราะฉะนั้นเมื่อพรรคเปลี่ยนแล้วก็ให้โอกาสเราด้วย


          มาถึงคำถามสำคัญเกี่ยวกับการเข้ามาในทีมเศรษฐกิจของประชาธิปัตย์ ทำให้บทบาทของ กรณ์ จาติกวณิช น้อยลงไปหรือไม่ “ปริญญ์”​ บอกว่าจริงๆ แล้วบทบาทท่านไม่ได้น้อยลง ถ้าเรียนตรงไปตรงมาท่านเป็นทุกอย่างในพรรคมาแล้ว ท่านเป็นรองหัวหน้าพรรคแล้ว เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจแล้ว หัวหน้าคณะกรรมการด้านนโยบายแล้ว เป็นรัฐมนตรีคลังแล้ว ก็เหลือแต่ตำแหน่งหัวหน้าพรรคซึ่งท่านก็ลงแข่งหัวหน้าพรรค ท่านอาจจะแพ้ แต่บทบาทท่านก็มิบังอาจพูด เพราะเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ แต่ท่านมีสิทธิจะทำหลายเรื่อง เพราะพรรคได้เปิดให้ท่านได้ทำหลายเรื่อง อันนี้ขึ้นอยู่กับท่านตัดสินใจ ท่านเป็น ส.ส. บทบาทท่านในสภาก็โดดเด่น คิดว่าเราไม่ได้ไปลดบทบาทท่าน และตัวเองก็มิบังอาจไปลดบาทบาทท่าน เพราะตัวเองกับท่านยังสนิทชอบพอกันเหมือนเดิม


          “ตอนผมเข้ามาในทีมเศษฐกิจ ผมพาทีมเศรษฐกิจไปขอคำปรึกษาท่านอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ เราไปนั่งกินอาหารร้านเป็ดโฟร์ซีซั่นของผม คุยกันถึงมุมมองแบบออกรสออกชาติ ท่านก็ให้คำแนะนำเราอย่างเต็มที่ อะไรทำมาดีไม่ดีท่านคอมเมนต์หมดทุกอย่างแบบเปิดอกเปิดใจคุยกัน เพราะฉะนั้นผมกับพี่กรณ์ก็ไม่มีอะไรที่ขัดกันอยู่แล้ว เป็นพี่น้องที่รักและเคารพกันเสมอ และนำคำแนะนำจากท่านมาปรับใช้ในสิ่งที่ดีๆ ที่ท่านได้ทำไว้”


          “ปริญญ์” ยังยืนยันส่วนตัวไม่อยากให้มองว่ามาทดแทนใคร เพราะจริงๆ พรรคประชาธิปัตย์มีคนเก่งเยอะมาก บางคนเก่งแต่เนื่องจากตำแหน่งทางการเมืองไม่พอทำให้คนเก่งไม่ได้มีตำแหน่งตลอดเวลา แต่พรรคประชาธิปัตย์ได้ให้คุณูปการแก่คนเก่งหลายคนในอดีต ได้เป็นรัฐมนตรี ได้เป็นตำแหน่งนู้นตำแหน่งนี้ คนเก่งๆ เหล่านี้ยังรู้สึกพรรคมีบุญคุณ ยังได้ทำงานกับพรรคต่อไป แต่บางคนมีวิธีการทำงานแบบใหม่ก็ออกไป ก็เป็นสิทธิแต่ละคน


          “ไม่ได้คิดว่าไปลดบทบาทใคร หรือทีมเศรษฐกิจต้องไปแย่งงานใคร เราเปิดรับทำงานกับทุกคน ขอคำปรึกษากับผู้ใหญ่ทุกคนกับผู้อาวุโสในพรรค ไปหาท่านกรณ์ ไปหาท่านอภิรักษ์ (โกษะโยธิน) ไปหาท่านอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) ไปหารัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ทุกคนทุกกระทรวงทุกสายไปหมด เราไม่ได้ปิดกั้น เราเปิดหมดทุกรุ่นทุกวัย เพราะเราเป็นทีมที่ทำงานกับทุกคน”


          ส่วนความกดดันที่เป็นลูกของ “ดร.ซุป” นั้น “ปริญญ์” ย้อนไปถึงวัยเด็กเคยรู้สึกกดันเหมือนกันในการเป็นลูกชาย ดร.ซุป เพราะตอนนั้นรู้สึกว่าคุณพ่อเป็นรองนายกฯ เป็น รมว.พาณิชย์ เป็นคนที่มีชื่อเสียง ทำงานเป็นผู้อำนวยการองค์การการค้าโลก มีความรู้สึกต้องทำตัวให้ดี แต่เมื่อโตขึ้นไม่ได้รู้สึกกดดันแล้ว รู้สึกภาคภูมิใจ นึกเพียงว่าชีวิตนี้เกิดมามีตำแหน่งเป็นลูกชาย ดร.ซุปก็พอแล้ว ไม่ต้องมีตำแหน่งอื่น ในชีวิตนี้รู้สึกมีบุญมากที่เกิดมาเป็นลูกชายท่าน ความรู้สึกปลื้มปีติตรงนี้บรรยายไม่ถูก รู้สึกดีใจเวลาคนอื่นบอกว่าคุณเป็นลูกคุณศุภชัย ซึ่งไม่ใช่คนเก่งอย่างเดียว แต่เป็นคนดีด้วย


          “ได้เรียนรู้จากท่านมากมาย ในเรื่องเศรษฐกิจคุยกับท่านและแลกเปลี่ยนกับท่านตลอดเวลา ท่านก็ให้คำแนะนำ ช่วยพูดช่วยแชร์ไอเดียกัน ท่านก็เป็นไอดอลตัวจริงของผมที่ผมรัก เป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพ่อ เป็นทั้งพี่ เราคุยกันเรื่องฟุตบอล เรื่องกีฬา เรื่องสัพเพเหระที่ไม่ใช่การงาน รวมถึงเรื่องการเมือง เรียกว่าคุยกันทุกเรื่อง”


          สุดท้ายถามถึงเป้าหมายในอนาคตตั้งแต่ระยะสั้น ระยะกลาง ระยาว “ปริญญ์” ยอมรับว่าออกแบบอนาคตไม่ได้ แต่พยายามทำงานตรงนี้ให้ดีที่สุดไปเรื่อยๆ ให้ทำงานแล้วมีความสุข ต้องรอดูต่อไปเรื่อยๆ เราจะมีโอกาสทำงานการเมืองต่อไปมากน้อยแค่ไหน


          “ผมอาจเป็นเฟืองเล็กๆ ในเครื่องจักรใหญ่ แต่ถ้าทำทุกวันๆ เฟืองตัวนี้จะทำให้หมุนได้ ต่อให้ผมเป็นฟันเฟืองเล็กๆ อยากจะชักชวนให้ทุกคนที่คิดว่าเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่มันเปลี่ยนแปลงให้ประเทศชาติได้ จึงอย่ากลัวในการเมืองที่ท้าทายหลายด้าน อย่างที่มีคนบอกว่าสังคมดีไม่มีขาย ถ้าอยากได้ต้องลงมือทำเอง”

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ