คอลัมนิสต์

ทางออกก.ม.งบประมาณ63 โดย สมชาย แสวงการ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ทางออกก.ม.งบประมาณ63 โดย สมชาย แสวงการ

 

 

 


          #รัฐบาลต้องตัดสินใจด่วนแก้ไขปัญหาพรบงบประมาณ2563สะดุด
          #ทางเลือกคือตรวจสอบกฎหมายให้ชัดเจนว่านำเข้าสภาโหวตใหม่ได้หรือไม่
                  หรือ
          #ออกพระราชกำหนดแก้ไขปัญหาทางการเงินเร่งด่วน

 

 

          จริงอยู่ครับว่างบประมาณแผ่นดินนั้นจะต้องตราเป็นกฎหมายโดยผ่านรัฐสภา แต่เหตุล่าช้าในการใช้งบประมาณ 2563 เม็ดเงิน 3.2 ล้านล้านบาท ที่หวังกระตุ้นเศรษฐกิจยามวิกฤติสงครามการค้าและวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศมิอาจรอได้ และดูจะริบหรี่ล่าช้าไปอีกอย่างน้อย 1-3 เดือน หรืออาจมากกว่า เหตุเพราะปัญหาที่ทั้ง ส.ส.ฝ่ายค้านและ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล คงต้องยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีปัญหาการมีผู้กดบัตรลงคะแนน ส.ส.ที่ไม่ได้อยู่ในสภาบางมาตราและหลากหลายกรณี


          ในฐานะที่เคยเป็นผู้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญในหลายคดี รวมถึงคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยคดีการออก พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้าน ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญนั้น


          แม้ศาลรัฐธรรมนูญท่านจะให้ความสำคัญ พ.ร.บ.ประมาณรายจ่ายประจำปีที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะมากเพียงใดก็ตาม


          ก็คงต้องให้เวลาศาลรัฐธรรมนูญท่านได้ไต่สวนข้อเท็จจริงซึ่งมีหลายกรณีตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจากประสบการณ์คงต้องใช้เวลาไต่สวนและให้ส่งเอกสารประกอบคำชี้แจงทั้งฝ่ายผู้ร้องและฝ่ายถูกร้อง หลายครั้ง และใช้เวลาแต่ละนัดรวมกัน 1-2 เดือน

 

 

          ถ้ากรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีบางส่วนที่ขัดหรือแย้ง และต้องกลับไปให้ ส.ส., ส.ว.ลงมติใหม่บางส่วน ก็จะใช้เวลารวมกันกว่าจะใช้งบประมาณ 2563 ใหม่นี้ได้อย่างเร็วก็ราวเดือนเมษายน


          แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 เสียไปทั้งฉบับ และอาจต้องเสนอใหม่ทั้งหมด




          กระบวนการทั้งหมดคงเสร็จเลยปีงบประมาณ 2563


          ความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อประเทศ คงยากจะคาดเดา


          ดังนั้น จึงขอเรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้โปรดพิจารณาตัดสินใจแก้ไขปัญหานี้เป็นการเร่งด่วนโดย
          1) ออกเป็นพระราชกำหนดพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ตามวงเงินที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาแก้ไขแปรญัตติแล้ว 3.2 ล้านล้านบาท และนำพระราชกำหนดดังกล่าวเข้าผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา หรือ


          2) ออกพระราชกำหนดวงเงินให้กระทรวงการคลังใช้เงินลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนหนึ่ง เช่น 6 แสนล้านบาท เท่ากับเม็ดเงินที่เตรียมไว้ใน พ.ร.บ.งบประมาณปี 63


          ซึ่งการออกพระราชกำหนดนั้นถือเป็นอำนาจฝ่ายบริหารที่สามารถกระทำได้ในยามจำเป็นเร่งด่วน และมีตัวอย่างที่รัฐบาลในอดีตสามารถออกพระราชกำหนดทางการเงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจประเทศเป็นการจำเป็นเร่งด่วนมิอาจหลีกเลี่ยงได้และลับ


          เช่นเมื่อ พ.ศ. 2541 รัฐบาลออกพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน พ.ศ. 2540 ซึ่งออกมาเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ตกต่ำในสมัย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี


          และสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พ.ศ. 2552 คณะรัฐมนตรีออกพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลัง กู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 แต่เมื่อเสนอให้รัฐสภาพิจารณา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 99 คน เข้าชื่อเสนอคำร้องต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้ส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่าพระราชกำหนดนี้ออกตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 184 วรรคหนึ่ง คือ ตราขึ้นเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือวรรคสอง คือ ตราขึ้นเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ หรือไม่


          ในระหว่างนี้เมื่อประธานสภาผู้แทนราษฎร (หรือประธานวุฒิสภา) ได้รับคำร้องของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (หรือสมาชิกวุฒิสภา) แล้ว ให้รอการพิจารณาพระราชกำหนดนั้นไว้ก่อนจนกว่าจะได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งกรณีตัวอย่างนี้ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องแล้วและพิจารณาเห็นว่าเป็นไปตามเงื่อนไขของการเข้าชื่อเสนอความเห็น จึงมีอำนาจที่จะรับไว้พิจารณา จึงได้แจ้งให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรทราบ พร้อมทั้งแจ้งให้นายกรัฐมนตรีในฐานะคณะรัฐมนตรี นายประเกียรติ นาสิมมา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะผู้แทนผู้เสนอความเห็น ได้จัดทำคำชี้แจงหรือเสนอความเห็นเป็นหนังสือไปยังศาลรัฐธรรมนูญภายในวันที่ 25 พฤษภาคม 2552 และในวันรุ่งขึ้น ศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งพิจารณาเพื่อรับฟังคำชี้แจงและแสดงความเห็นจาก นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะผู้แทนผู้เสนอความเห็น และนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผู้แทนนายกรัฐมนตรีในฐานะคณะรัฐมนตรี และอนุญาตให้ทั้งสองฝ่ายทำความเห็นเป็นหนังสือยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ก่อนการวินิจฉัย ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 3 มิถุนายน 2552 ในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญโดยมติเอกฉันท์ได้วินิจฉัยว่าพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 ตราขึ้นเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 วรรคหนึ่ง และตราขึ้นเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 วรรคสอง

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ