คอลัมนิสต์

แฉพิรุธส่วนต่างไบโอเมทริกซ์ สตช.จัดซื้อแพงหูฉี่

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

แฉพิรุธส่วนต่างไบโอเมทริกซ์ สตช.จัดซื้อแพงหูฉี่เกิน 6 เท่า สตม.รับไม่ตรงสเปกทั้งหมด ยันคุ้มค่าใช้ออปชั่นที่จำเป็น

 

               “ทนายษิทรา” แฉพิรุธส่วนต่างระบบไบโอเมทริกซ์ ชี้ สตช.จัดซื้อแพงหูฉี่ เทียบยี่ห้อ-สเปก-ราคา กับท้องตลาด จ่ายเกิน 6 เท่า เตรียมส่ง ป.ป.ช.ตรวจสอบ ด้าน สตม.ยันมีประสิทธิภาพ คุ้มค่ากับงบประมาณ ยอมรับออปชั่นไม่ตรงสเปกทั้งหมด

 

               ความคืบหน้ากรณีการตรวจสอบปมทุจริตเรื่องไบโอเมทริกซ์ ซึ่งถูกจุดกระแสขึ้นหลังจากที่มีคดีคนร้ายบุกยิงรถยนต์ส่วนตัวของพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษาพิเศษสำนักนายกรัฐมนตรีและเป็นอดีตผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (อดีตผบช.สตม.) โดยเจ้าตัวออกมาระบุว่าสาเหตุมาจากเรื่องดังกล่าว

 

               ซึ่งนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ เป็นผู้ยื่นร้องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบ และพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เป็นพยานเข้าให้ข้อมูล เนื่องจากระบบไบโอเมทริกซ์ไม่มีประสิทธิภาพ ใช้ไม่ได้จริง ไม่เป็นไปตามทีโออาร์ กระทั่งเป็นที่มาของศึกเกาเหลาระหว่าง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.

 

               ล่าสุดวันที่ 15 มกราคม นายษิทรา ออกมาเปิดเผยข้อพิรุธเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างระบบไบโอเมทริกซ์ ว่าจากข้อมูลที่ได้มาล่าสุดพบว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) จัดซื้อเครื่องไบโอเมทริกซ์ จำนวน 1,843 ชุด

 

              แบ่งเป็น เครื่องจัดเก็บข้อมูลลายนิ้วมือและภาพถ่าย (Biometrics) รวม 1,303 ชุด กับเครื่องจัดเก็บข้อมูลลายนิ้วมือและภาพถ่าย (Biometrics) พร้อมจอภาพ รวม 540 ชุด โดยเครื่องอ่านลายพิมพ์นิ้วมือและภาพถ่ายจัดซื้อราคาชุดละ 280,000 บาท แต่ถ้าเพิ่มจอภาพด้วย ราคาจะขยับขึ้นเป็นชุดละ 650,000 บาท

 

แฉพิรุธส่วนต่างไบโอเมทริกซ์ สตช.จัดซื้อแพงหูฉี่

 

               นายษิทรา เปิดเผยอีกว่า เมื่อตรวจสอบราคาแล้วพบว่าเครื่องถ่ายภาพใบหน้า ยี่ห้อโลจิเทค (Logitech) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติสั่งซื้อมีขายทั่วไป กระทั่งในลาซาดาซึ่งเป็นเว็บไซต์ซื้อของออนไลน์ มีราคาเพียงเครื่องละ 7,590 บาท ในขณะที่เครื่องอ่านลายนิ้วมือไม่มีขายทั่วไป แต่มีขายในเว็บไซต์ต่างประเทศ ซึ่งขายกันในราคา 1,299 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยไม่เกิน 40,000 บาท

 

               เมื่อรวมราคาเครื่องอ่านลายนิ้วมือและภาพถ่ายจะมีราคาอยู่ที่ 47,590 บาท หากคำนวณในจำนวน 1,303 ชุด จะรวมเป็นเงิน 62,009,770 บาท แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติซื้อมาในราคา 280,000 บาท โดยเงินส่วนต่างตรงนี้ร่วม 302,830,230 บาท

 

               ขณะเดียวกันเมื่อตรวจสอบชุดที่มีจอภาพเพิ่มขึ้นมาจำนวน 540 ชุด ซึ่งราคาท้องตลาดจอภาพไม่เกิน 10,000 บาท หรือให้แพงเต็มที่ก็อยู่ที่ไม่เกิน 20,000 บาท หากเป็นไปตามราคาท้องตลาดจำนวน 540 ชุด จะเป็นเงิน 10,800,000 บาท เมื่อนำมารวมกับเครื่องอ่านลายนิ้วมือและภาพถ่าย 25,698,600 บาท ชุดนี้จะราคาอยู่ที่ 36,498,600 บาท แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกลับซื้อมาในราคาที่แพงถึง 351,000,000 บาท โดยมีส่วนต่างเพิ่มไปอีก 314,501,400 บาท

 

แฉพิรุธส่วนต่างไบโอเมทริกซ์ สตช.จัดซื้อแพงหูฉี่

 

               นายษิทรา กล่าวว่า เท่าที่ทราบเครื่องไบโอเมทริกซ์ในจำนวน 1,843 ชุด ที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดซื้อยังให้แก่ตำรวจหน่วยงานอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการตรวจคนเข้าหรือออกประเทศ หรือด่านคัดกรองของตม.ถึง 200 ชุด ซึ่งประเด็นนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องตอบประชาชนผู้เสียภาษีถึงเรื่องความคุ้มค่าที่ทุ่มงบประมาณไปกว่า 2,100 ล้านบาท

 

               และที่กล่าวมาทั้งหมดยังไม่รวมอุปกรณ์อื่นๆ ที่ตนกำลังตรวจสอบ หากสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะตอบว่าเป็นคนละแบบ หรือคนละฟังก์ชัน หรือออปชั่นต่างกัน แม้จะเป็นรุ่นเดียวกัน ก็ช่วยออกมาตอบข้อสงสัยของสังคมด้วย แต่ทุกคำตอบจะเป็นหลักฐานสำคัญของป.ป.ช. ที่จะเอาผิดกับคนที่ทุจริตโกงกินบ้านเมือง ให้รับโทษ แม้จะใหญ่แค่ไหนก็ตาม

 

               “ข้อมูลหลักฐานเหล่านี้ผมจะยื่นให้ป.ป.ช.ภายในสัปดาห์นี้ ส่วนเครื่องไบโอเมทริกซ์จำนวน 200 เครื่อง ที่มอบให้ตำรวจหน่วยต่างๆ ทั่วประเทศ เท่าที่ทราบเอาไปไว้ที่กองกำกับการสืบสวนแต่ละจังหวัด เข้าใจจุดประสงค์ว่าต้องการให้มีการเชื่อมโยงโครงข่ายขยายผลจับกุมคนร้ายต่างชาติในพื้นที่ให้ง่ายต่อการตรวจสอบ

 

               แต่ผมไปตรวจสอบหลายที่ตำรวจใช้งานไม่เป็น บางแหงยังไม่แกะ และยังไม่เปิดเครื่องใช้ แต่พอมีข่าวนี้ดังขึ้นมา ก็มีคำสั่งให้เปิดเครื่องใช้งาน โดยเปิดในตอนเช้าแล้วให้ปิดในตอนเย็น สิ่งที่เกิดขึ้นจึงมีคำถามว่าคุ้มค่ากับงบประมาณที่จ่ายไปแล้วเหรอ” นายษิทรา กล่าว 

 

               วันเดียวกัน พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. ออกมาเปิดเผยถึงข้อสงสัยเกี่ยวกับประสิทธิภาพของระบบไบโอเมทริกซ์ ที่สตม.นำมาใช้ในท่าอากาศยานนานาชาติและด่านชายแดนต่างๆ รวมทั้งกรณีรถตรวจการณ์อัจฉริยะว่ามีประสิทธิภาพดีจริงคุ้มค่ากับเงินที่ซื้อไปหรือไม่

 

               โดยยืนยันว่าระบบไบโอเมทริกซ์สามารถใช้งานได้จริง ส่วนตัวมองว่าคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป เพราะมีสถิติการจับกุม รวมถึงตัวเลขเงินค่าปรับยืนยันชัดเจน แต่เนื่องด้วยงบประมาณที่จำกัดจึงใช้ระบบไบโอเมทริกซ์ในออปชั่นที่จำกัด แต่ก็เลือกใช้ในฟังก์ชันที่จำเป็นไปก่อน ถือเป็นการเริ่มต้นเพื่อที่จะพัฒนาเพิ่มออปชั่นในอนาคตต่อไป

 

               “เราจะมาบอกว่าคุ้มไม่คุ้ม จะดูแต่ตัวเลขไม่ได้ การสร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยวต่างชาติว่าประเทศไทยปลอดอาชญากรรม การก่อการร้าย ผมถือว่าคุ้ม นักท่องเที่ยวมั่นใจในความปลอดภัย เข้ามาเที่ยว เอาเงินมาทิ้งเท่าไหร่ คุ้มไม่คุ้มผมไม่ทราบ แต่ความคิดเห็นส่วนตัวยิ่งกว่าคุ้ม เมื่อเขามาเที่ยวแล้วเกิดเหตุ เราสามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นใคร เข้าเมื่อมาไหร่ ออกตอนไหน แค่นี้คุ้มแล้ว” พล.ต.ท.สมพงษ์ระบุ

 

               พล.ต.ท.สมพงษ์ กล่าวอีกว่า ระบบไบโอเมทริกซ์นั้น ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในหลายคดีที่สำคัญแต่ไม่ได้เปิดเผยสู่สังคม เช่น คดีความมั่นคง เหตุระเบิดป่วนกรุงเทพฯ เมื่อเดือนสิงหาคม 2562 ซึ่งระบบไบโอเมทริกซ์ก็มีส่วนช่วยให้สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ รวมถึงยกตัวอย่างกรณีเหตุวางระเบิดรั้วศาลพระพรหมที่แยกราชประสงค์เมื่อปี 2558 ถ้าตอนนั้นใช้ระบบไบโอเมทริกซ์เชื่อว่าคนร้ายจะไม่สามารถเข้ามาก่อเหตุได้

 

แฉพิรุธส่วนต่างไบโอเมทริกซ์ สตช.จัดซื้อแพงหูฉี่

 

               สำหรับรถตรวจการณ์อัจฉริยะ พล.ต.ท.สมพงษ์ ก็ยืนยันว่าสามารถใช้งานได้จริง มีส่วนช่วยในภารกิจนอกพื้นที่ในการตรวจสอบบุคคล เพื่อให้การปฏิบัติภารกิจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ในภาพรวมการทำงานด้านการสืบสวนจะมีการเชื่อมต่อระบบกับหลายหน่วยงานเช่น บช.ปส. ซึ่งจะต้องเข้าระบบและสามารถตรวจสอบกันได้ และสามารถเข้าไปตรวจสอบตามแหล่งท่องเที่ยวได้

 

               ด้าน พล.ต.ต.สุรพงษ์ ชัยจันทร์ รองผบช.สตม. ยอมรับว่า ระบบไบโอเมทริกซ์ที่นำมาใช้อาจจะมีออปชั่นไม่ครบตามสเปกทั้งหมด แต่สามารถใช้ได้มีประสิทธิภาพมากกว่าของเก่า ในอนาคตจะสามารถใช้ได้ทุกอย่างทั้งระบบ ซึ่งเบื้องต้นในระบบจะใช้ออปชั่นที่จำเป็นเพื่อให้การใช้งานมีประสิทธิภาพสูงสุด สอดรับกับทาง พล.ต.ท.สมพงษ์ ซึ่งยันยันว่าเราทำตามทีโออาร์ ประสิทธิภาพใช้งานได้ดี

 

               “การที่ออกมาพูดว่าไม่มีประสิทธิภาพมันเสียหายต่อประเทศ ต่อสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ที่ผ่านมาเราสามารถจับกุมตามหมายจับ การที่เราเชื่อมต่อระบบได้หลายรายรวมไปถึงเรื่องขบวนการความมั่นคง ผมพร้อมชี้แจงและให้มีการตรวจสอบ มีสถิติข้อเท็จจริงจากการปฏิบัติงาน” พล.ต.ท.สมพงษ์ กล่าวยืนยัน

 

               ทั้งนี้มีรายงานว่าสำหรับสถิติการใช้งานระบบไบโอเมทริกซ์ตั้งแต่เริ่มต้นถึงวันที่ 7 มกราคม 2563 (รวมระยะเวลาประมาณ 6 เดือน) ตรวจคนเข้า-ออก จำนวน 48,862,051 คน จับกุมด้วยระบบไบโอเมทริกซ์มีจำนวน 3,166 คน จับกุมบุคคลในแบล็กลิสต์ 4,353 คน อยู่เกินกำหนด หรือโอเวอร์สเตย์ (Overstay) 126,989 คน รายได้แผ่นดินจากค่าปรับ 242,808,800 บาท

 

               นอกจากนี้เวลา 14.30 น.วันเดียวกัน ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก พ.ต.อ.ไพรัตน์ ไพพรรณรัตน์ รองผบก.อก.ภ.9 เดินทางมายื่นฟ้อง พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326,328 เเละ 332 หลังจากถูก พ.ต.อ.กฤษณะ แถลงข่าวตอบโต้กรณีที่ พ.ต.อ.ไพรัตน์ ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ในความผิด ม.157 ที่โยกย้ายไม่เป็นธรรมถูกกลั่นแกล้ง

 

               ก่อนจะพาดพิงให้ย้อนกลับไปดูพฤติกรรมตัวเองว่าทำผิดวินัยอะไรไว้บ้าง ซึ่งมีความผิดมากมายตั้งแต่เป็นสารวัตรกระทั่งมาถึงปัจจุบัน อาทิเรื่องเรี่ยไรขายบัตรคอนเสิร์ต ทรงผมผิดระเบียบไม่ปฏิบัติตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยการยื่นฟ้องครั้งนี้ศาลรับคำฟ้องไว้เป็นหมายเลขคดี อ.94/2563 เเละไต่สวนมูลฟ้องว่าจะมีคำสั่งประทับรับฟ้องไว้หรือไม่ในวันที่ 30 มีนาคม เวลา 13.00 น.

 

               พ.ต.อ.ไพรัตน์ กล่าวว่า 2 ปีที่ผ่านมาถูกผู้บังคับบัญชากล่าวหาว่าไปขายบัตรคอนเสิร์ต ทั้งที่เหตุการณ์ไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น มีนายตำรวจระดับผู้บังคับบัญชาโทรมาข่มขู่ว่าจะเอาเรื่องกับตนทุกเรื่องในด้านวินัย โดยกล่าวหาว่าไม่สุจริต ในวันพรุ่งนี้ (16 ม.ค.) จะนำคลิปเสียงที่มีการข่มขู่ออกมาแฉให้สื่อมวลชนที่สนใจได้รับทราบเพื่อให้ประชาชนตัดสินใจว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้ถูกกระทำ

 

                ที่ออกมาฟ้องไม่ใช่ว่าอยากจะหาเรื่องผู้ใหญ่ เเต่ตลอดมาถูกกลั่นเเกล้งมานับ 10 เรื่อง เพิ่งจะมาฟ้องได้เพียงแค่ 2 เรื่อง จึงเป็นเรื่องที่ต้องออกมาปกป้องตนเองในฐานะเป็นผู้เสียหายเเละผู้ถูกกระทำ ที่พูดวันนี้ไม่ได้ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อในฐานะรองผบก. เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่ออกมาฝ่าฝืนระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติในเรื่องของการให้ข่าวเพราะเป็นการกระทำในนามส่วนตัว

 

               ด้านพ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า เพิ่งทราบเรื่องดังกล่าวจากสื่อมวลชน ถือเป็นเรื่องปกติและเป็นสิทธิ์ของเขาที่สามารถทำได้ คงไม่ได้ไปตอบโต้อะไร ทั้งนี้ไม่มีความกังวลกับเรื่องดังกล่าว ก็ยังคงทำหน้าที่ปกติ

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ