คอลัมนิสต์

สังคมกระต่ายตื่นตูม 

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

สังคมกระต่ายตื่นตูม  บทความพิเศษเนชั่นสุดสัปดาห์    โดย... ผศ.ดร.สุวิชา เป้าอารีย์ 

 

 


          ในรอบอาทิตย์ที่ผ่านมา นอกจากข่าวการปลุกม็อบของหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่แล้ว อีกข่าวหนึ่งที่เป็นที่สนใจของประชาชนคือ การปล่อยข่าวว่า ครม.จัดให้ผ้าอนามัยเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยเก็บภาษีในอัตราสูง และไม่ควบคุมราคา โดยผู้ปล่อยข่าวเป็นถึง ส.ส.หญิงและโฆษกของพรรคเพื่อชาติ น.ส.เกศปรียา แก้วแสนเมือง แต่กลับกลายเป็นว่าข่าวนี้ไม่ถูกต้อง โดย นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิตไม่เคยมีการจัดเก็บภาษีผ้าอนามัยตามที่เป็นข่าว ผ้าอนามัยเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% เท่านั้น ไม่ได้เสียภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย เพราะเนื่องจากเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นที่สตรีต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ในนิยามการเสียภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย คือ ถ้าไม่มีใช้ก็ไม่กระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน ถ้าส่งผลกระทบ ก็ให้ถือว่าเป็นสินค้าที่ไม่ฟุ่มเฟือย

 

 

 

 

          แทนที่ ส.ส.หญิงจะออกมาขอโทษสังคมในการปล่อยข่าวเรื่องนี้ กลับแถไปเรื่อยว่า การที่ระบุว่าผ้าอนามัยแบบสอดก็ยังไม่ถูกปลดออกจากสินค้าประเภทเครื่องสำอางซึ่งเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย อีกทั้ง พ.ร.ก.ดังกล่าวยังมีผลบังคับใช้เพียง 1 ปีเท่านั้น ซึ่งจริงๆ แล้วควรทำให้เป็นสินค้าควบคุมถาวร (ฟังแล้วรำคาญไหมครับ)


          การปล่อยข่าวนี้อาจจะไม่ใช่ Fake News ที่ถูกตั้งใจทำขึ้นมาเพื่อโจมตีใส่ร้ายรัฐบาล แต่คือ “การฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด” ของ ส.ส.หญิง ที่ดูเป็นคนรุ่นใหม่ มีความรู้ดี แต่ฟังข้อความหรือตรวจดูข้อมูลไม่ชัดแจ้ง ไม่ครบถ้วน และอาจรวมถึงไม่เข้าใจด้วย แต่นำไปตีความ แล้วพูดต่ออย่างผิดๆ ถูกๆ ทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เนื่องจากหลังการปล่อยข่าว ทำให้ #ภาษีผ้าอนามัย กลายเป็นกระแส ติดเทรนด์อันดับ 1 ทวิตเตอร์ไทย ที่นายกฯ โดนวิจารณ์อย่างมากจากคนทั่วไปและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพวกขาประจำต่อต้าน พล.อ.ประยุทธ์ ที่อยู่ทั้งในสภาและนอกสภา


          แต่เมื่อความจริงปรากฏว่าไม่ได้เป็นดังข่าวที่ถูกปล่อยออกมา ไม่ทราบว่า มีใครออกมาขอโทษสังคมบ้างตั้งแต่ต้นทางของการปล่อยข่าวไปจนถึงนักแชร์ข่าวและพวกที่ชอบติดแฮชแท็กประชดประชันสังคมทั้งหลาย




          ประเด็นนี้ (ถ้าไม่นับว่าเป็นเรื่องการเมือง) ทำให้นึกถึงงานวิจัยที่เคยทำให้กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เมื่อหลายปีก่อนที่ได้วิเคราะห์จุดอ่อนอย่างหนึ่งของสังคมไทยไว้ว่า คนไทยจำนวนมากกำลังเดินเข้าสู่สังคมก้มหน้า คือ การให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีที่อยู่ในมือมากกว่าคนรอบข้าง ให้ความสนใจและเชื่อในข้อมูลออนไลน์มากกว่าความเป็นจริงทางสังคม ขาดการกรองข้อมูลข่าวสาร ขาดการวิเคราะห์ข้อมูลในเชิงลึก ไม่พยายามวิเคราะห์หาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ยินมา และมักจะมีพฤติกรรมกระต่ายตื่นตูมอยู่เป็นประจำ คือชอบที่จะแบ่งปันและกระจายข้อมูลออกไปให้เพื่อนหรือเครือข่ายโดยไม่มีการตรวจสอบความเป็นจริงของข้อมูลที่ได้มา


          พฤติกรรมของ ส.ส.หญิงผู้นี้ไม่ต่างอะไรกับกระต่ายในนิทานอิสป ที่มีเรื่องเล่าว่า เมื่อเกิดพายุใหญ่ ทำให้ลูกตาลหล่นลงที่พื้นดิน เกือบถูกกระต่ายที่นอนอยู่ใต้ต้นตาล จากนั้นก็คิดว่าฟ้าถล่ม ไม่ทันได้ไตร่ตรอง ลุกขึ้นได้ก็วิ่งไปอย่างสุดกำลัง วิ่งพลางบอกพลางว่า “ฟ้าถล่ม” ทำให้สัตว์ทั้งหลายในป่าที่ไม่ทันคิดก็เชื่อตามพากันวิ่งตามกระต่ายไป จนทำให้สัตว์จำนวนมากวิ่งหกล้ม ชนกันเกือบต้องเสียชีวิตและทำให้ป่าเกิดความวุ่นวายอย่างมาก


          ประเด็นภาษีผ้าอนามัยนี้อาจเป็นเพียงแค่การขาดความสุขุมรอบคอบ ขาดการรู้จักใช้สติปัญญาไตร่ตรองของ ส.ส.หญิง และพวกนักแชร์ข้อมูล (ที่ไม่สนใจจะตรวจสอบข้อมูล) รวมถึงพวกชอบติดแฮชแท็ก ประชดและทำลายสังคม ผลที่ได้คือสังคมยังวุ่นวายขนาดนี้


          ลองคิดดูว่าถ้าเป็น Fake News ที่ถูกทำขึ้นมาเพื่อเหตุผลทางการเมืองหรือเพื่อบั่นทอนความมั่นคงของประเทศ ผลที่เกิดขึ้นกับสังคมจะวุ่นวายขนาดไหน


          การแก้ไขปัญหานี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับหน่วยต่อต้าน Fake News ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพียงหน่วยงานเดียว


          แต่สิ่งสำคัญคือการปรับพฤติกรรมของคนยุคดิจิทัล ให้เลิกเป็นกระต่ายตื่นตูม ต้องหัดตรวจสอบข้อมูลจากหลายๆ แหล่งก่อนตัดสินใจแชร์ และเมื่อเกิดความผิดพลาดก็ต้องหัดรู้จักออกมาขอโทษ ไม่ใช่ทำเป็นเงียบหรือปิดหน้าสื่อออนไลน์ของตนเองเพื่อหนีจากการถูกตำหนิ


          ความรับผิดชอบน่ะมีไหม...เหล่ากระต่ายทั้งหลาย
 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ