คอลัมนิสต์

น้ำตา "มึนอ" ในวันที่ป่ากว้าง ทางยังไกล

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

รายงานพิเศษจากหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

 

 

 

****************************

 

 

การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักว่าเจ็บลึก แต่การสูญเสียจิตวิญญาณสาหัสกว่า

 

สำหรับ มึนอ" หรือ พิณนภา พฤกษาพรรณ แล้ว บิลลี่" พอละจี รักจงเจริญ ไม่ใช่แค่สามีและพ่อของลูกทั้ง 5 แต่เขาคือลมหายใจและวิญญาณของเธอด้วย

 

เพราะกว่า 5 ปีที่ผ่านมา จากวัย 27 สู่วัย 32 จากผู้หญิงตัวเล็กๆ มาสู่บทบาทที่ต้องเดินหน้าต่อสู้เพื่อหาคำตอบในการหายตัวไปของคนรัก มาจนถึงคำว่า วันที่รอคอยกำลังจะมาถึง" นั้น คือคำอธิบายที่ชัดเจน แต่นั่นก็เหมือนว่ายังไม่เพียงพอ หากเทียบเส้นทางความรักในแบบฉบับของมึนอและบิลลี่

 

 

 

น้ำตา "มึนอ" ในวันที่ป่ากว้าง ทางยังไกล

 

 

 

วันนี้สำหรับมึนอ แม้ฝ่ายชายจะไม่อยู่แล้ว แต่ภายใต้เงาของร่มไม้ใหญ่แห่งชาติพันธ์ุกะเหรี่ยงที่มีความเชื่อ มีวิถีของตนเอง มีความงดงามเรียบง่าย ไปจนถึงเรื่องราวอันลึกซึ้งเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตหลังสูญเสียคู่ชีวิต ชีวิตจากนี้ของมึนอที่เหมือนเดินอยู่ในป่าใหญ่ ไร้ทิศทาง หลายคนก็อดเป็นห่วงไมได้

 

 

 

หลักการแห่งชาติพันธุ์

 

 

เราพอทราบกันว่ากลุ่มชนที่คนไทยเรียกว่าชาวกะเหรี่ยง (หรือ กาเรน กะยีน หรือ คนยาง ในภาษาเมียนมาร์และมอญ) มีแบบแผนการดำรงชีวิตของกลุ่มที่แม้จะเรียบง่าย สมถะ แต่ก็แข็งแรง เคร่งครัด

 

และถ้าพูดถึงการสร้างครอบครัวของชนชาติกะเหรี่ยง ข้อมูลทั่วไประบุว่าในการแต่งงานสร้างครอบครัวของชาวกะเหรี่ยงนั้นตามหลักประเพณีกะเหรี่ยงฝ่ายหญิงจะต้องเป็นฝ่ายไปขอฝ่ายชาย

 

โดยเมื่อเป็นที่รับรู้แล้วว่าหญิงชายรักชอบพอกัน พ่อแม่และญาติพี่น้องของฝ่ายหญิงก็จะส่งคนไปหาฝ่ายชายเพื่อสอบถามให้แน่ใจว่าฝ่ายชายรัก และยินดีที่จะแต่งงานกับฝ่ายหญิงจริงหรือไม่ หากฝ่ายชายรักชอบพอกัน และยินยอมที่จะแต่งงานกับฝ่ายหญิงก็จะมีการนัดหมายวันเวลาทำพิธีแต่งงานกันในเวลานั้น

 

 

 

น้ำตา "มึนอ" ในวันที่ป่ากว้าง ทางยังไกล

หนุ่มสาวกะเหรี่ยงที่ตามงานถึงจะได้พบปะกัน

 

 

 

สำหรับการหมั้นหมาย หรือ เตอะ โหล่ เกิดขึ้นเมื่อฝ่ายชายตกลงปลงใจว่าจะแต่งงานกับฝ่ายหญิงและนัดหมายวันเวลาแต่งงานที่แน่นอนแล้ว ฝ่ายชายก็ส่งเถ้าแก่ไปทำพิธีหมั้นหมายฝ่ายหญิงก่อนวันแต่งงาน

 

ในพิธีฝ่ายหญิงจะฆ่าไก่ 2 ตัว ในการทำอาหารเพื่อเลี้ยงรับรองเถ้าแก่ของฝ่ายชาย และวันรุ่งขึ้นก็จะนัดหมายวันเวลาที่ฝ่ายชายและเพื่อนๆ จะมาหาฝ่ายหญิงเพื่อทำพิธีแต่งงานต่อไป

 

อย่างไรก็ตามกะเหรี่ยงนั้นมีทั้งกะเหรี่ยงโป กะเหรี่ยงปะโอ หรือ กะเหรี่ยงบะเว ฯลฯ แต่ละที่ก็จะมีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันไปเล็กน้อย

 

หากในแง่มุมของชีวิตคู่ ว่าตรงกันว่าการแต่งงานคือความหวังสูงสุดที่หนุ่มสาวกะเหรี่ยงรอคอยและทั้งสองคนอาจมิใช้กะเหรี่ยงในหมู่บ้านเดียวกันก็ได้

 

ที่สำคัญชาวกะเหรี่ยงมีความเคร่งครัดการแต่งงานแบบผัวเดียวเมียเดียว การหย่าร้างมีน้อย และการแต่งงานใหม่ไม่ค่อยมีให้เห็น ตามธรรมดาของสามีภรรยาผูกพันรักกันอย่างมั่นคงและการแต่งงานเป็นข้อตกลงของคนสองคน

 

หันมาที่มึนอ แน่นอนในวันที่ไร้บิลลี่ย่อมมีแต่ความเจ็บปวด คิดถึง และอ่อนแรง เพราะเธอต้องทำงานหาเลี้ยงลูกทั้ง 5 คนเพียงลำพังจากที่ก่อนหน้านี้เพียงแค่คอยดูแลบ้านและลูกๆ ส่วนสามีเป็นฝ่ายออกไปทำงานทั้งทำสวน ทำไร่ ทำงานเพื่อมวลชนในฐานะแกนนำกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ทั้งยังเป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี อีกด้วย

 

แต่หากย้อนดูเรื่องราวความรักของคนทั้งคู่ก็เชื่อว่าสิ่งนี้น่าจะทำให้มึนอมีรอยยิ้มบ้างในวันที่เงียบเหงา หรือเหนื่อยล้า

 

 

มึนอ-บิลลี่ รักตามเสียง

 

ว่ากันที่วิถีของชนชาติกะเหรี่ยงนั้น หากเทียบกับคนทั่วไปการเริ่มต้นความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวชาวกะเหรี่ยงมีข้อจำกัดเรื่องการพบปะที่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ง่ายนักตามประเพณี

 

แต่ผู้ใหญ่ชาวกะเหรี่ยงก็ไม่ได้ห้ามเด็ดขาด โดยทั่วไปหนุ่มสาวจึงมักพบกันตามงานสำคัญ โดยเฉพาะที่พบมากคือตาม “งานศพ” แต่สำหรับคู่ของมึนอและบิลลี่ พวกเขาเจอกันในวันคริสต์มาสของชาวกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาคริสต์

 

ข่าวจากไทยรัฐสัมภาษณ์มึนอถึงเส้นทางความรัก เธอเล่าว่าตนเองกับบิลลี่พบกันตั้งแต่ราวปี 2545 โดยเธอได้โทรศัพท์ไปหาพี่ชายที่เป็นญาติ และคนที่รับโทรศัพท์ทุกครั้งก่อนที่จะได้คุยกับพี่ชายก็คือ “บิลลี่” ซึ่งเป็นเพื่อนของพี่

 

แต่ตอนนั้นเธอไม่รู้ว่าคนปลายสายชื่อเสียงว่าอะไร จนกระทั่งในงานคริสต์มาสของหมู่บ้านเมื่อปลายเดือนธันวาคม 2545 ทั้งคู่ก็ได้เจอกันเป็นครั้งแรก

 

มึนอเวลานั้นเป็นสาวรุ่นในวัย 15 ก็ได้คุยกับชายหนุ่มแปลกหน้า แต่ไม่แปลกเสียง เพราะบิลลี่ในวัย 18 ไม่รีรอที่จะเข้ามาชวนคุย

 

 

น้ำตา "มึนอ" ในวันที่ป่ากว้าง ทางยังไกล

งานผูกข้อมือเรียกขวัญเดือนเก้า (ลาขุ) เป็นอีกงานที่หนุ่มสาวกะเหรี่ยงได้พบกัน

 

 

 

สังคมทั่วไปบางทีแค่สมาร์ทโฟนเครื่องเดียวก็ลงเอยแล้วในเส้นทางความรัก แต่บิลลี่และมึนอ ทั้งคู่เริ่มสานสัมพันธ์กันในแบบฉบับที่เคร่งครัดในหลักการของชาติกะเหรี่ยง

 

โดยจะนัดโทรคุยกันทุกวันที่ 15 ของทุกเดือน ซึ่งมึนอจะโทรหาบิลลี่ ส่วนบิลลี่จะโทรหามึนอทุกวันที่ 30 จนเมื่อพูดคุยดูใจกันได้ 1 ปี จึงตัดสินใจร่วมชีวิตกัน โดยครอบครัวทั้งสองฝ่ายยินยอม

 

เป็นอันว่าจากความรักตามเสียง ก็กลายมาเป็นคู่ชีวิต ทัั้งคู่อยู่กินสร้างครอบครัวชาวปกาเกอะญอด้วยกันอยู่ที่ “บ้านบางกลอย” หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อว่า “ใจแผ่นดิน” อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี

 

อย่างที่รู้ที่สุดราวปี 2554 ชีวิตต้องมาเกี่ยวพันกับปัญหาการย้ายชาวบ้านจากใจแผ่นดินลงมาอยู่ที่บ้านโป่งลึก มึนอและบิลลี่ต้องพบเห็นภาพของบ้านเรือนยุ้งถูกเผาราบโดยเจ้าหน้าที่อุทยานทำการปราบปรามหนัก

 

และทุกคนเชื่อว่าสิ่งนี้ได้นำมาซึ่งการหายตัวไปของบิลลี่ตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2557 ขณะที่เขามีอายุเพียง 31 ปี เพราะบิลลี่เป็นพยานปากสำคัญและเป็นผู้ประสานงานในคดี ทั้งยังเดินหน้าเป็นแกนนำชาวกะเหรี่ยงในการต่อสู้เรื่องสิทธิ์ในที่ทำกินของพวกเขามาตลอด

 

 

 

อยู่เพื่อรัก

 

 

หากเส้นทางของนักต่อสู้หลายคนมัก “จบแบบนี้” บิลลี่เองก็เหมือนจะรู้ชะตากรรม จึงเคยพูดกับลูกเมียและญาติพี่น้องเสมอว่า “ถ้าหายไป ไม่ต้องตาม คือโดนเก็บไปแล้ว” คำถามคือแล้วเส้นทางของ “เมียนักต่อสู้” ที่ต้องสูญเสียคืออะไร

 

 

 

น้ำตา "มึนอ" ในวันที่ป่ากว้าง ทางยังไกล

 

 

แน่นอนการที่ได้รับรู้ว่าคนรักเหลือเพียงชิ้นส่วนกระดูกในถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร ที่พบเอาเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2562 ตอนที่ผ่านมาถึง 5 ปี ภายในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี พื้นที่บ้านเกิดที่เขาโลดแล่นมาทั้งชีวิต 

 

จากคดีคนหายพลิกกลายเป็นคดีฆาตกรรม สำหรับมึนอต่อให้เตรียมใจมาแล้ว แต่ยังไงก็ต้องเจ็บปวดเกินบรรยาย

 

แต่ภาพที่เราเห็นมาตลอดคือใบหน้าเรียบเฉย แววตาเข้มแข็ง และคำพูดที่ไม่เคยหมดหวังของแม่ลูก 5 มึนอเคยพูดในงานเสวนาเรื่องปัญหาสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองกะเหรี่ยงแห่งบ้านบางกลอยบน-ใจแผ่นดิน กับการขึ้นทะเบียน “ผืนป่าแห่งกระจาน” เป็นมรดกโลก เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2562 ที่มหาวิทยาลัยรังสิตว่า

 

กว่า 5 ปีที่ผ่านมา ลำบากเพราะบ้านเหลือเพียงเสาหลักเดียว ทำให้บ้านไม่มั่นคง ต้องทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ ต้องทำงานในบ้าน นอกบ้าน เข้าไร่เข้าสวน จนหลังแน่ชัดแล้วว่าสามีหายไปจึงเดินหน้าหาความจริงท่ามกลางข้อติดขัดในระบบราชการ

 

คำพูดล่าสุดหลังจากมีการจับกุมผู้ต้องหา (4 ราย) ที่สงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการตายของบิลลี่ แต่ที่สุดผู้ต้องหาก็ได้รับการประกันตัวออกมา เจ้าตัวบอกแม้จะเกรงกลัวความปลอดภัยแต่ก็กัดฟันพูดว่ายังไงก็ขอให้มีความยุติธรรม

 

ส่วนตัวไม่ได้เจาะจงว่าใครเป็นคนทำสามีแต่ก็คิดว่าเป็นเจ้าหน้ารัฐ อยากให้คนทำออกมารับผิดชอบ”

 

 

น้ำตา "มึนอ" ในวันที่ป่ากว้าง ทางยังไกล

 

 

อย่างไรก็ดี ในแต่ละวันของมึนอก็ยังพอมีรอยยิ้มออกมาให้เห็นบ้างในเฟซบุ๊ก “รักจง เจริญ” ที่เธอใช้เป็นพื้นที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิต คำอธิบายทั้งหมดนี้อาจเพราะยังไงก็ต้องไปต่อ และมึนอยังมีอีก 5 ชีวิตที่ต้องดูแล

 

“น้ำตา” ถึงเวลามันก็ต้องแห้งหายไปสักวัน

 

หากอีกมุมหนึ่งก็อาจเป็นวิถีแห่งกะเหรี่ยง ผู้ซึ่งดำรงชีวิตท่ามกลางภูเขาและผืนป่า รวมถึงการดิ้นรนต่อสู้ในรอยยับของความขัดแย้งทางพื้นที่และชาติพันธุ์ ซึ่งตลอดมาพวกเขาต้องถูกทำให้กลายเป็น คนนอก” ความเจ็บปวดน้อยเนื้อต่ำใจสะสมกดเก็บ

 

แต่เหล่านี้ก็ได้กลั่นเป็นดีเอ็นเอแห่งความเข้มแข็งและต้องยืนหยัดสู้วิ่งพล่านอยู่ในสายเลือดกะเหรี่ยงทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ “มึนอ”

 

***********************************

 

ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ก รักจง เจริญ

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ