คอลัมนิสต์

อาวุธ ที่อยู่ในมือ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

อาวุธ ที่อยู่ในมือ บทบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก ฉบับวันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2562

 

 

          เป็นเหตุการณ์สะเทือนเลื่อนลั่นหลังจากนายตำรวจวัยเกษียณยศพลตำรวจตรี กระทำการอุกอาจจ่อยิงคู่ความที่เป็นทั้งคู่เขย และทนายความฝ่ายตรงข้ามเสียชีวิตคาบัลลังก์ศาลก่อนที่ตนเองจะถูกเสมียนทนายคว้าปืนตำรวจประจำศาลยิงทะลุกระจกห้อง...กระสุน 6 นัดเจาะร่างพรุนตายตกไปตามกัน เหตุการณ์ครั้งนี้ผู้เสียชีวิตถึง 3 ราย ส่วนที่มาของสาเหตุปมคลั่งแค้นครั้งนี้มาจากชนวนที่ดินมรดกกว่า 3 พันไร่ ที่ฟ้องร้องกันในหมู่เครือญาติยาวนานมากว่า 10 ปี

อ่านข่าวนี้...  บทพิสูจน์ ทวงคืนผืนป่า

 

 

          เหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มีเรื่องราวซับซ้อนมากมาย แต่คงต้องขอก้าวข้ามปล่อยให้คดีความดังกล่าวเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมต่อไป แต่ประเด็นทำให้สะดุดกึกจนต้องมานั่งปุจฉาวิสัชนาเอาน้ำลายแตะหัวแบบเณรน้อย “อิคคิวซัง” เห็นจะเป็นเรื่องที่นายกสภาทนายความ เสนอนโยบายให้ทนายความพกปืนได้ โดยให้เหตุผลเพื่อสวัสดิภาพในการทำงาน การเดินทาง และครอบครัว เพราะงานทนายความเป็นงานเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งของคู่ความจึงน่าจะมีอาวุธปืนไว้ป้องกันตัว โดยขั้นตอนการขออนุญาตจะมีประธานสภาทนายความจังหวัดรับรองความประพฤติ โดยนายกสภาทนายความ และ ผบ.ตร.ให้การรับรอง


          อืม...เหตุผลก็พอฟังได้นะ แต่อยากให้หยุดคิดและหายใจเข้าลึกๆ สักสองสามฟืด จริงอยู่อาชีพทนายความเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งค่อนข้างสูง แต่ถ้าจะให้ถึงขนาดต้องพกอาวุธปืนกันได้ ส่วนตัวมองว่า สิ่งที่สภาทนายความร้องขอมันเป็นเรื่องใหญ่ที่มีความละเอียดอ่อนสูงลิ่ว ดังนั้นหากจะมีการผลักดันเรื่องนี้อย่างจริงจังแล้ว... หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายต้องเปิดโต๊ะพูดคุยถึงเรื่องข้อกฎหมายต่างๆ รวมทั้งศึกษาถึงผลกระทบทั้งด้านดีและด้านร้ายที่อาจตามมาอย่างถี่ถ้วน และที่สำคัญขอตั้งคำถามกลับไปว่า ณ วันนี้ประเทศไทยพร้อมหรือยังในการรับมือเหตุร้ายต่างๆ ที่อาจเกิดจากความตั้งใจและไม่ตั้งใจจากบุคคลที่รัฐเองเป็นผู้อนุญาตให้คนเหล่านั้นพกพาอาวุธปืนไปยังที่ต่างๆ ได้

 



          ที่เห็นแย้งไม่ใช่เพราะไม่เห็นความสำคัญของชีวิตเพื่อนร่วมโลกที่ประกอบอาชีพทนายความ แต่การแก้ปัญหาทุกเรื่องเราควรมองไปถึงผลกระทบที่เป็น “ภาพใหญ่” โดยเฉพาะเรื่องการบังคับใช้ข้อกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมอาวุธปืนให้เข้มงวด เพื่อไม่ให้มีช่องโหว่จนเป็นต้นเหตุของการก่ออาชญากรรมและเหตุร้ายต่างๆ มากกว่า ไม่ใช่ส่งเสริมให้ใครพกพาอาวุธปืนเพิ่มขึ้น และใครที่เห็นต่างก็อย่าเพิ่ง “หัวร้อน” เพราะต้องไม่ลืมว่า การพกพาอาวุธปืนนั้นเปรียบเสมือน “ดาบสองคม” ด้านหนึ่งมันอาจช่วยเราปกป้องชีวิต ครอบครัว และทรัพย์สินจากเหตุอันตรายต่างๆ ที่ไม่คาดคิดได้จริง แต่อีกด้านหนึ่งก็ไม่ต่างกับ “มหันตภัยร้าย” ที่รอวันปะทุ หากผู้ครอบครองอ่อนด้อยวุฒิภาวะ ใจร้อน ขาดสติยั้งคิดเมื่อยามเผชิญเหตุการณ์ขัดแย้งซึ่งหน้า


          ตรงนี้ต่างหากที่สำคัญ เพราะใช่ว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกสีสวยจะเป็น “perfect man” ที่มีวุฒิภาวะ ความคิด การไตร่ตรอง และสติสัมปชัญญะในการควบคุมและกำหนดอารมณ์ได้อย่างเลิศเลอในยามที่ต้องเผชิญเหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่างเท่าเทียมกันเสียเมื่อไร เพราะแม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐที่ผ่านการฝึกฝน เรียนรู้ถึงการควบคุมและใช้สติในยามถือครองอาวุธปืนคู่กาย ก็ยังเคยพลาดพลั้งตกเป็นผู้กระทำผิดร้ายแรงเสียเอง...ดังนั้นทุกฝ่ายควรหยุดคิดตั้งสติใคร่ครวญให้ถ้วนถี่ด้วยหลักของเหตุและผล ก็จะได้คำตอบออกมาเองว่า...การมี “อาวุธปืน” อยู่ในมือมันไม่ใช่หนทางของการแก้ปัญหาแน่นอน...?

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ