คอลัมนิสต์

Mad City คนเดือด เมืองคลั่ง

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

รายงานพิเศษ จากหนังสือพิมพ์คมชัดลึก ฉบับวันที่ 26-27 ต.ค.62

 

 

คนไทยได้เห็นภาพลูกกราบแม่ ในข่าว ลูกแคลนมาลีคลั่ง” และภาพแม่กราบคนไทยแทนลูก ในข่าว แว่นหัวร้อน” สองเหตุการณ์นี้ที่เกิดขึ้นไล่ๆ กัน ถึงรายละเอียดจะต่างกัน แต่ปลายทางอย่างเดียวกันคือ “ขอโทษคนไทย”

 

ถามว่าทำไมต้องขอโทษคนไทย ทั้งที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนสองเรื่องนี้อาจปรากฏในกรอบจิ๋วๆ ของหนังสือพิมพ์ หรือไม่ปรากฏเลย ปล่อยให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่จัดการกันไป

 

แต่เมื่อทั้งหมดถูกเผยแพร่ผ่านทางสื่อออนไลน์ ตอนนี้สิ่งที่เรียกว่า “ชาวเน็ต” หรือสังคมภายนอกแสดงออกมา คืออารมณ์ร่วมที่น่ากลัวยิ่ง

 

โดยเฉพาะเคสหลัง ภาพของฝูงชนที่พากันไปชุมนุมโดยไม่ได้นัดหมายหน้าโรงพัก เพื่อรอ “ดูหน้า” หนุ่มแว่นหัวร้อน มันช่างน่ากลัวจริงๆ

 

เหนืออื่นใด ยิ่งการที่มีคนบางกลุ่มไล่ด่าลามไปถึงคนในครอบครัวของหนุ่มแว่น ยิ่งน่าคิดว่าในทางกลับกัน มันเกิดอะไรขึ้นกับสภาพทางอารมณ์และทัศนคติของสังคมไทยในภาพรวมกันแน่ ?

 

 

 

ผิดมหันต์ อันตราย?

 

 

เรื่องราวในคลิปที่ปรากฏช่วงวันที่ 23 ตุลาคม ที่ผ่านมา ได้ทำให้เมืองไทยร้อนระอุทะลุจุดเดือดรับวันหยุดนักขัตฤกษ์ซะอย่างนั้น

 

เมืื่อภาพที่เห็นคือภาพของหนุ่มแว่นบุคลิกดี แต่งตัวดี แต่พูดจาตรงกันข้าม กำลังมีเรื่องกับคู่กรณี ซึ่งเป็นคนถ่ายคลิปไว้ โดยเหตุเกิดจากการเฉี่ยวชนของรถทั้งคู่บนถนนอักษะ

 

 

Mad City  คนเดือด เมืองคลั่ง

 

 

ทว่า ต้นสายปลายเหตุของอุบัติเหตุไม่ว่าใครเป็นฝ่ายผิดก็ตาม แต่เมื่อคลิปที่ออกมาคือการแสดงอารมณ์ต่อว่า โวยวาย และดูถูกดูหมิ่นคู่กรณีด้วยถ้อยคำไม่สุภาพ แถมยังอวดรวย อวดดี แทบทุกคนที่เห็นคลิปนี้ก็ตัดคะแนนจิตพิสัยหนุ่มแว่นทันทีโดยอัตโนมัติ

 

อย่างไรก็ดีดังที่ทราบ ปรากฏว่าจิตพิสัยอย่างเดียวไม่พอ เมื่อคลิปซึ่งมีความยาวพอสมควรได้บันทึกทุกคำพูดของหนุ่มหัวร้อนไว้หมด และคำพูดที่ทำให้คนไทยทั้งเมืองนั่งไม่ติด คือคำด่าแบบดูถูกเหมารวมเอาคนไทยและประเทศไทย

 

 

 

Mad City  คนเดือด เมืองคลั่ง

 

 

สุดท้ายเมื่อเปิดมาแบบนี้ สังคมไทยก็ “จัดให้” เรื่องราวของเขาถูกแชร์ออกไปราวกับน้ำป่าไหลหลาก ความโกรธของคนไทยติดต่อถึงกันรวดเร็วและรุนแรงราวกับเป็นไวรัส

 

ส่องโซเชียล ความเห็นของผู้คนในโลกเสมือนจริง ถูกพิมพ์ออกมาในถ้อยคำที่หยาบคาย รุนแรง ที่เก็บกด ก็ปลดปล่อย ที่โกรธน้อยๆ ก็ค่อยๆ โกรธมากขึ้น

 

ไปๆ มาๆ คู่กรณีของหนุ่มแว่นหัวร้อน จากหนึ่งจึงเพิ่มเป็นร้อย เป็นพัน และน่าจะค่อนประเทศในตอนนี้ โทษบาปของเขามันสาหัสสากรรจ์เกินจะบรรเทาขนาดนั้นจริงๆ เชียวหรือ?

 

 

 

ศาลเตี้ย กฎหมู่?

 

อย่างที่บอกว่าสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าข้อความในกระดานโซเชียล คือภาพของฝูงชนคลั่งที่พากันไปรวมตัวที่หน้า สภ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม เมื่อทราบว่าหนุ่มแว่น หรือภายหลังรู้ทั่วกันว่าชื่อ รชฏ หวังกิจเจริญสุข” ที่เดินทางไปโรงพักพร้อมแม่และแฟนสาวก็เพื่อพบเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อสอบปากคำ

 

แต่การไปรวมตัวกันมากมายที่บอกว่าไปดูหน้า ทำไมบรรยากาศหน้าโรงพักออกแนว “มาคุ” ซะมากกว่า หลายคนพากันตะโกนร้องเรียกให้เขาออกมา แต่ก็ยังตะโกนให้เขาออกไป คือออกไปจากประเทศไทยอีกด้วย สับสนเล็กน้อยเหมือนกัน

 

 

Mad City  คนเดือด เมืองคลั่ง

 

 

ที่ได้ยินมากคือ คำด่า คำสบถสาปแช่ง ที่หลั่งไหลออกมาไม่ขาดเสียง จนน่ากลัวว่าอารมณ์ที่รุนแรงคุกรุ่นตอนนั้น หากหนุ่มแว่นออกมาอาจเกิดเหตุถึงขั้นรุมประชาทัณฑ์ได้ คืนนั้นคนไทยติดตามข่าวนี้เกือบไม่ได้หลับได้นอน พากันลุ้นด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ไม่กล้าบอกด้วยซ้ำว่าลุ้นให้เกิดเรื่องหรือให้ไม่เกิดเรื่องกันแน่

 

ที่สุดขณะที่แม่และแฟนสาวของหนุ่มแว่นกำลังออกมาจากโรงพักเพื่อกลับบ้านไปก่อน ปรากฏว่าชาวบ้านที่มารออยู่หน้าโรงพักก็พากันตะโกนต่อว่าเสียงดังทำนองเรื่องการเลี้ยงดู งานนี้เจ้าหน้าที่ต้องเข้ามากันไทยมุงไว้ และรีบนำตัวแม่ และแฟนสาวของหนุ่มแว่น ขึ้นรถขับออกไปทันที

 

 

Mad City  คนเดือด เมืองคลั่ง

 

 

อย่างไรก็ดี เรื่องราวในคืนนั้นก็ยังจบลงแบบ ใจชื้น” อยู่บ้าง ด้านหนึ่งเพราะนอกจากไม่มีเรื่องร้ายทำนอง “ศาลเตี้ย” หรือ “ยำบาทา” เกิดขึ้นแล้ว ข่าวรายงานว่าหนุ่มแว่นได้หลบออกไปด้านหลังโรงพัก ซึ่งคงเป็นจังหวะเดียวกับที่ฝูงชนเฮไปให้ความสนใจแม่และแฟนสาวของหนุ่มแว่นที่ออกมาจากโรงพักพอดี

 

ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ยังมีชาวโซเชียลบางส่วนเข้ามา ดึงสติ” ว่าแม่และแฟนสาวของหนุ่มแว่นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ และในคลิปแฟนสาวของเขาก็เข้ามาขอโทษคู่กรณี และพยายามที่จะห้ามแฟนของเธอตลอดเวลา

 

 

 

ศึกชนชั้น ซีซั่นใหม่?

 

อย่างไรก็ดี บรรยากาศของเรื่องราวอดทำให้นึกถึงเหตุการณ์คล้ายๆ กันสองสามเหตุการณ์ ที่มีมูลเหตุมาจากเรื่องราวบนท้องถนน

 

เหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นช่วงปี 2550 เมื่อเด็กนามสกุลดังคนหนึ่งขับรถเบนซ์แล้วไปมีเรื่องกับรถปรับอากาศร่วมบริการสายหนึ่ง ฝ่ายคนขับเบนซ์ทำร้ายคนขับรถเมล์ จากนั้นกลับเข้าไปนั่งในรถแล้วขับพุ่งชนผู้โดยสารที่ยืนบนทางเท้าได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต

 

ข่าวนี้นับว่าได้รับความสนใจและติดตามจากคนไทยชนิดเกาะติด โดยภายหลังครอบครัวพยายามต่อสู้ว่าบุตรชายมีอาการชักเกร็งตั้งแต่เด็กต้องเข้ารับการรักษาและเป็นโรคอารมณ์แปรปรวน

 

แต่ในช่วงที่เรื่องยังคงดำเนินอยู่นั้น คนไทยพากันรับไม่ได้กับคำพูดจากฝ่ายบิดาของคนขับเบนซ์ ในท่วงทำนองดูถูกคู่กรณี และในทางคดีความก็ออกมาชนิดที่ทำให้เกิดเป็นวลี คุกมีไว้ขังคนจน?” ถาโถมไปทั่ว แน่นอนบรรยากาศเลยเหมือนสงครามชนชั้นผ่านทางหน้าข่าวสารอยู่ระยะหนึ่ง

 

เหตุการณ์ต่อมาคือเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงปี 2553 เด็กสาวสกุลดังกับซีวิคบนทางด่วน เรื่องนี้เกิดเป็นสงครามชนชั้นท่วงทำนองเดียวกัน และฝ่ายจำเลยก็ยังคงถูกทวงถามคำขอโทษมาจนทุกวันนี้

 

 

Mad City  คนเดือด เมืองคลั่ง

 

 

เหตุการณ์นี้ แน่นอนคนเจ็บที่สุดคือครอบครัวผู้สูญเสียทั้ง 9 ชีวิต แต่คนที่เหมือนตายทั้งเป็นไปด้วยก็คือคนขับรถชน ที่แทบไม่มีที่ยืนในสังคม จนครอบครัวออกมาระบุว่าทุกวันนี้เป็นโรคซึมเศร้าไปแล้ว

 

นี่ยังไม่พูดถึงเหตุการณ์ช่วงสองปีก่อน ที่ “อิมเมจ เดอะวอยซ์” หรือ สุธิตา ชนะชัยสุวรรณ โพสต์ทวิตเตอร์รัวๆ โวยประเทศไทยเฮงซวยตอนที่รอรถนาน ช่วงนั้นเธอโดนกระแสคนไทยต่อต้าน งานงอก เสียเซลฟ์อยู่พักใหญ่

 

มาถึงเหตุการณ์ล่าสุด น่าสนใจมากที่เหตุการณ์นี้ไม่มีคนตาย แต่อารมณ์ของคนไทยเดือดดาลไม่แพ้กับสองเหตุการณ์แรก แม้แต่ดาราคนดังบางคนก็เอาเรื่องนี้มาขยายต่อให้ไฟโหมหนักขึ้น อะไรทำให้เป็นไปได้ขนาดนี้

 

 

 

ต้นเชื้อต้องแก้

 

 

ในทางทฤษฎีจิตวิทยา มีสิ่งที่เรียกว่าความชาชินที่มากขึ้น (Desensitization/Tolerance) เช่นเมื่อเราดูสื่อที่มีความรุนแรงนานๆ ก็จะมีการตอบสนองต่อความรุนแรงลดลงเมื่อเทียบกับตอนแรก คือเริ่มเฉยๆ ไม่น่ากลัว และอาจเพิ่มดีกรีความรุนแรงมากขึ้นเพื่อกระตุ้นให้ตื่นเต้นมีชีวิตชีวา

 

ดังที่เห็นว่าวันนี้เมื่อหนุ่มหัวร้อนคนหนึ่งออกมาระบายความเก็บกดในวันแย่ๆ ของเขาวันหนึ่ง กลับกลายเป็นวันแย่ๆ ของคนนับล้านทั่วไทย

 

ในที่นี้อธิบายได้ว่า เมื่อเป็นเช่นนี้คนไทยเริ่มรู้สึกว่าการออกมารวมตัวกันเพื่อตอบโต้คนที่พวกเขาคิดว่า “ไม่ดี” ด้วยการแสดงออกทางอารมณ์ที่รุนแรงกลับไป คือทางออกที่ถูกต้อง

 

แต่ถ้ามองดีๆ ก็ต้องมีคำถามในมุมกลับเช่นกันว่า สิ่งที่คนไทยกำลังแสดงออกต่อหนุ่มแว่นและครอบครัว พฤติกรรมมันคลับคล้ายคลับคลาเหตุการณ์ในคลิปต้นเรื่องหรือไม่

 

ในมุมของหนุ่มแว่น นอกจากโดนบริษัทไล่ออก แน่นอนเขาต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย และได้รับการรักษาเยียวยาหากป่วยจริง เพราะจากที่โดนชาวเน็ตเปิดวาร์ปเสียพรุนขนาดหนัก ก็พบว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แสดงออกทำนองนี้ตามท้องถนน

 

แต่ในมุมของคนไทยที่กำลังคลั่ง ถ้าคิดไม่ออกว่าต้องทำยังไง แนะนำให้ดูเจ้าของคลิปเป็นตัวอย่าง โดนกระชับคำด่าถึงตัวขนาดนั้น ยังใจเย็นเป็นน้ำ

 

 

Mad City  คนเดือด เมืองคลั่ง

 

 

 

กระนั้นก็ดี ก็ยังมีคำถามในมุมอื่นเช่นกัน คือถ้าไม่นับถึงเรื่องการพูดจาดูแคลนประเทศ ที่ถ้าพูดแบบไม่อวยกันเอง เรื่องมารยาทและกฎจราจรบ้านเรายังไงก็ได้แค่ “ระดับหนึ่ง" จริงๆ

 

แต่ถ้าเนื้อหาที่ทำให้คนไทยโกรธแบบ “สุดลิ่มทิ่มประตู” ก็คือการพูดจาอวดรวย ดูถูกเหมารวมว่าคนไทยนั้นมีโอกาสและต้นทุนทางชีวิตที่ไม่เท่าเขา ยากจนต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เป็นชนชั้น “ระดับล่าง”

 

ต้องถามต่อว่า ต่อมใจดำ” ตรงนี้มันมีอยู่จริงในก้นบึ้งของคนไทยส่วนใหญ่ใช่หรือไม่ ยิ่งช่วงนี้เศรษฐกิจเป็นยังไง ไปเดินตลาดโบ๊เบ๊ สำเพ็งก็รู้

 

จะว่าไปทั้งหมดนี้ มันก็เหมือนมีเชื้อฝังอยู่แล้ว ถึงวันที่มีหนุ่มหัวร้อนคนหนึ่งสะกิดมันเข้า มันก็ระเบิดบูมออกมา รอจังหวะที่จะไปลงกับใครสักคนพอดี คำถามนี้เรารู้ดีว่าใครต้องออกมาตอบ ?

 

**************************

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ