คอลัมนิสต์

Golden/Bloody Week บทเรียนจากอินเดีย...สู่ฮ่องกง

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

คอลัมน์... รู้ลึกกับจุฬาฯ  โดย...  ผศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ศูนย์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

 

 

 

          ทุกๆ ปีที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 1-7 ตุลาคม คือช่วงเวลาที่ประชาชนจีนกว่า 1.38 พันล้านคนได้หยุดยาวเพื่อเฉลิมฉลองการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 1949 หรือกว่า 70 ปีมาแล้ว ปีนี้มีรัฐพิธีที่ยิ่งใหญ่โดยเฉพาะการตรวจแถวและสวนสนามแสดงแสนยานุภาพของจีน แน่นอนคนจีนเฝ้าชมรัฐพิธีนี้ด้วยความภาคภูมิใจและจะใช้ชีวิตอย่างสุดเหวี่ยงตลอดวันหยุดราชการต่อเนื่องทั้งสัปดาห์ที่เรียกกันว่า Golden Week ประมาณการว่าชาวจีนมากกว่า 800 ล้านคนจะเดินทางท่องเที่ยวและใช้ชีวิตอย่างเต็มที่สนุกสนาน คาดว่าน่าจะมีเงินสะพัดจากการจับจ่ายใช้สอยมากกว่า 6 แสนล้านหยวน หรือกว่า 3 ล้านล้านบาทในเวลาเพียง 1 สัปดาห์

 

 

 

 

          แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปจากปีก่อนๆ ก็คือหนึ่งในจุดหมายการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไปเพราะหลายๆ ปีที่ผ่านมา หนึ่งในสถานที่ที่ชาวจีนนิยมไปกิน ดื่ม ใช้ชีวิตในช่วง Golden Week คือเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (Hong Kong Special Administrative Region of the People's Republic of China: SAR) ซึ่งปีนี้ 31 ประเทศทั่วโลกออกคำเตือนไม่ให้ประชาชนเดินทางไปเยือนฮ่องกง


          ตลอดเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง 40% เมื่อเทียบกับปี 2018 ความรุนแรงของสถานการณ์เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (Severe Acute Respiratory Syndrome: SARS) ระบาดในปี 2003, มูลค่าการค้าปลีกในฮ่องกงของเดือนกรกฎาคม 2019 เท่ากับ 34.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 11.4% จากปี 2018 สมาคม Hotel, Food and Beverage Employees Association ประกาศผลสำรวจพนักงานกว่า 84% พิจารณาว่าภาคการท่องเที่ยวของฮ่องกงกำลังล่มสลาย พนักงาน 90% ถูกบีบให้ Unpaid Leave, พนักงาน 46% รายได้ลดลง ฮ่องกงกำลังล่มสลาย


          ในขณะนี้ Golden Week ก็กลายเป็น Bloody Week เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมฮ่องกงบางส่วนประท้วงด้วยการใช้ความรุนแรง ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ ทำลายทรัพย์สินทั้งของราชการและของเอกชน หรือแม้แต่ปล้นร้านค้า การชุมนุมที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนมิถุนายนมาถึงจุดที่กดดันจนเจ้าหน้าที่ที่ถูกรุมทำร้ายร่างกายต้องใช้อาวุธประจำตัวยิงผู้ก่อจลาจลที่เข้ามาทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส นักข่าวหญิงชาวอินโดนีเซียถูกกระสุนยางเข้าที่ตาจนตาบอด และในที่สุดเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม เวลา 15.00 น. คณะผู้บริหารฮ่องกงได้ประกาศพระราชกำหนดข้อบังคับฉุกเฉิน ซึ่งจะมีผลตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 5 ตุลาคม โดยพ.ร.ก.ดังกล่าว ควบคุมการชุมนุมในที่สาธารณะตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป ควบคุมการเดินขบวนในที่สาธารณะตั้งแต่ 30 คนขึ้นไป ห้ามนัดรวมตัวกันโดยปิดบังใบหน้าโดยไม่ได้รับอนุญาต (ยกเว้นในกรณีเจ็บป่วย) โดยผู้ใดฝ่าฝืนโทษสูงสุดจำคุก 1 ปี ปรับ 25,000 ดอลลาร์ฮ่องกง (98,000 บาท) เจ้าหน้าที่มีอำนาจให้ผู้ชุมนุมปลดสิ่งที่ปิดบังใบหน้า

 



          แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือหลังเที่ยงคืนกลุ่มผู้ชุมนุมก็ยังคงออกมาสวมหน้ากาก (ป้องกันการระบุตัวตนจากระบบ Facial Recognition ของทางการซึ่งพัฒนาไปมากโดยเฉพาะในประเทศจีน) และเดินหน้าก่อการจลาจลต่อไปอย่างต่อเนื่อง


          สถานการณ์จนถึงปัจจุบันคือความผิดพลาดในทางยุทธศาสตร์ของกลุ่มผู้ชุมนุมเพราะนอกจากจะทำให้ตนเองอยู่ในสถานการณ์ที่กลับหลังไม่ได้ และหากเดินหน้าต่อไปก็คงไม่สามารถบรรลุถึงจุดมุ่งหมาย จุดมุ่งหมายของกลุ่มผู้ชุมนุมเองในขณะนี้ก็ไม่ได้มีความชัดเจนและมีเอกภาพอีกต่อไปแล้ว คณะผู้บริหารฮ่องกงประกาศตั้งแต่วันที่ 4 กันยายนไปแล้วว่า กฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนซึ่งเป็นชนวนของการเรียกร้องในรอบนี้ได้ถูกยกเลิกกระบวนการออกกฎหมายไปแล้วอย่างถาวร และข้อเรียกร้องอื่นๆ ของผู้ชุมนุมก็ได้รับการตอบรับและจะเริ่มต้นกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนเพื่อเดินหน้าการปฏิรูปการเมืองและเศรษฐกิจของฮ่องกง แต่กลุ่มผู้ชุมนุมที่นิยมความรุนแรง หรือที่เรียกกันว่า ฮาร์ดคอร์ ยังคงเดินหน้าและทำแม้แต่การเรียกร้องให้ต่างชาติเข้าแทรกแซงกิจการภายในของฮ่องกง หรือเรียกร้องในสิ่งซึ่งเป็นไปไม่ได้ นั่นคือการแยกตัวออกจากสาธารณรัฐประชาชนจีน


          การเรียกร้องโดยใช้ความรุนแรงรังแต่จะสร้างเงื่อนไขที่ทำให้ทางการฮ่องกงต้องร้องขอความช่วยเหลือจากแผ่นดินใหญ่ การทำลายล้างและก่อการจลาจลเปรียบเสมือนการจุดไฟเผาบ้านตนเอง และทำให้คนฮ่องกงที่อาจจะเคยเห็นด้วยกับผู้ชุมนุมเปลี่ยนใจไม่สนับสนุนอีกต่อไป เพราะสิ่งที่พวกเขาทำหลายๆ อย่าง เริ่มเกินขอบเขตของความพอดีไปแล้ว เดินหน้าเรียกร้องต่อไปด้วยวิธีการรุนแรงแบบที่เกิดขึ้นไม่เป็นผลดีทั้งกับกลุ่มผู้ชุมนุม และกับฮ่องกงเองอย่างแน่นอน


          ท่ามกลางความแตกแยก คำถามที่สำคัญคืออะไรคือแนวทางที่ถูกต้องสำหรับการเรียกร้องในทางการเมืองที่จะนำไปสู่ความสำเร็จและได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถทำได้จริง


          ในสถานการณ์เช่นนี้หากมองข้ามเทือกเขาหิมาลัยออกไปเราก็จะพบว่าในอีกภูมิภาคหนึ่งอินเดียเองก็กำลังมีงานเฉลิมฉลองด้วยเช่นกัน เพราะวันที่ 2 ตุลาคมของทุกปีคือวันคล้ายวันเกิดของมหาบุรุษ Mohandas Karamchand Gandhi หรือ “มหาตมา คานธี” และปีนี้เป็นปีพิเศษคือเป็นวาระ 150 ปี ชาตกาลมหาตมา คานธี


          ผมเชื่อว่าแต่ละคนก็คงมองเห็นความยิ่งใหญ่ของผู้ชายคนนี้ในมุมมอง ในมิติที่แตกต่างกันออกไป แต่สำหรับผม “มหาตมา คานธี” ซึ่งแปลว่า คานธี ผู้มีจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ (ต้องออกเสียงว่า “มหาตมา” ไม่ใช่ “มหาตมะ”) ได้รับการขนานนามเช่นนี้เพราะ 3 เหตุผล


          1.ผู้ชายคนนี้คือคนที่รวมชาติและประชาชนของอินเดียให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ทั้งๆ ที่ตลอดประวัติศาสตร์ของอินเดียที่ยาวนานหลายพันปี มหาราชา นักรบ สุลต่าน ที่ยิ่งใหญ่ด้วยกองทัพที่เกรียงไกรเกรี้ยวกราด อหังการ-มมังการ แค่ไหนก็ไม่เคยทำได้สำเร็จ แต่ชายคนนี้ทำได้สำเร็จด้วยมือเปล่า


          2.การลุกขึ้นต่อต้านจักรวรรดิอังกฤษเกิดขึ้นตลอดประวัติศาสตร์ก่อนหน้าที่คานธีจะเป็นผู้นำ แต่ไม่เคยมีใครทำสำเร็จ ทั้งนี้เพราะส่วนใหญ่ลุกฮือขึ้นต่อต้านกองทัพอังกฤษด้วยความรุนแรงด้วยการประหัตประหาร ซึ่งแน่นอนว่าจะสู้รบอย่างไรกองทัพของสหราชอาณาจักรก็มีอาวุธที่ทันสมัยมากกว่า เชี่ยวชาญการรบมากกว่า แต่คานธีทำได้สำเร็จ หากแต่ไม่ใช่เพราะความรุนแรงแต่เป็นเพราะวิถีทางแห่งการ “อารยะขัดขืน (Civil Disobedience)” ตามแนวทาง “สัตยาเคราะห์ (Doctrine of Satyagraha)” นั่นคือแนวทางแห่งความจริง


          3.ชายผู้นี้ยึดมั่นในอุดมการณ์ ศรัทธาอย่างแท้จริงในความเชื่อที่ถูกต้อง รวมทั้งเป็นผู้นำที่แสดงให้ผู้ตามศรัทธาด้วยการปฏิบัติตนเป็นตัวอย่าง คานธีไม่ต้องการให้อินเดียถูกแยกประเทศในการประกาศเอกราช ดังนั้นในวันที่ 15 สิงหาคม 1947 ที่อินเดียได้รับเอกราช เราจะไม่เห็นคานธีอยู่ในการเฉลิมฉลองใดๆ เพราะการได้รับเอกราชแต่ต้องแบ่งแยกประเทศเป็นอินเดีย-ปากีสถาน สำหรับคานธีนี่คือความสูญเสีย ไม่ใช่การเฉลิมฉลอง แม้ในวาระสุดท้ายของชีวิตเขาโดนสังหารก็เพราะชาวฮินดูหัวรุนแรงไม่พอใจที่เขาต้องการให้ความเป็นธรรมและต้องการไปเยือนปากีสถาน พี่น้องอินเดียที่เป็นอิสลาม


          และนี่คือความแตกต่างระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมที่ใช้แต่ความรุนแรงโดยไม่ดูเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ ไม่ดูเงื่อนไขทางการเมือง ไม่ดูเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ มุ่งแต่จะทำลายล้าง โดยเอาแต่ความสะใจของตนเองเป็นที่ตั้ง ไม่มีความเป็นอารยะ เช่นในกรณีของฮ่องกง ที่ไร้ทิศทาง ไร้แกนนำ ตรงกันข้ามกับแบบอย่างที่ถูกต้องของแนวทางการเคลื่อนไหวแบบสัตยาเคราะห์ ที่เชื่อมั่นในความจริง Truth and Only Truth หยุดเป็นตัวสำเร็จ ยอมถอยหลังเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า สงบนิ่ง และใช้ความจริงในการต่อสู้ แม้จะถูกทำร้ายโดยกองทัพอังกฤษ คานธีก็ยังนั่งอยู่ตรงนั้น ยอมถูกทำร้าย และในที่สุดผู้ที่ทำร้ายผู้อื่น ผู้ที่ใช้ความรุนแรงก็คือผู้ที่เป็นฝ่ายผิด ฝ่ายของคานธีที่สงบและพยายามอธิบายความ พยายามสร้างปัญญาให้ทุกคนเข้าใจสถานการณ์จะกลายเป็นความถูกต้องและได้ชัยชนะในท้ายที่สุด


          ถ้าผู้ชุมนุมฮ่องกงหัดที่จะเรียนรู้เรื่องราวเหล่านี้และปฏิบัติตัวตามแนวทางที่ถูกต้อง นั่งลง และนั่งอยู่ที่นั่น นั่งอยู่นิ่งๆ นั่งอยู่ที่ตรงหน้าที่ทำการฝ่ายบริหารของฮ่องกง ค่อยๆ ถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ให้ชาวฮ่องกงและชาวโลกได้รับรู้ ไม่สร้างเงื่อนไขให้ถูกล้อมปราบ ไม่สร้างความรุนแรง เมื่อนั้นทั้งชาวฮ่องกงและชาวโลกก็อาจจะเข้าใจและสนับสนุนว่าเพราะเหตุใดพวกเขาจึงต้องออกมาเรียกร้อง (แน่นอนว่าขึ้นกับว่าสิ่งที่เรียกร้องมันมีเหตุผลสมควรด้วยหรือไม่)


          สำหรับพวกเราชาวไทยหากอยากจะเรียนรู้แนวทางดังกล่าวของมหาบุรุษ มหาตมา คานธี ศูนย์อินเดียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในวาระ 150 ปี ชาตกาลมหาตมา คานธี ขอเรียนเชิญเข้าชมนิทรรศการภาพถ่ายชีวิตของมหาตมา คานธี The Life of Mahatma Gandhi: Photo Exhibition ระหว่างวันที่ 2 ตุลาคม–12 พฤศจิกายน ณ นิทรรศสถาน อาคารศิลปวัฒนธรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หากต้องการเข้าชมเป็นหมู่คณะพร้อมฟังการบรรยาย สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์อินเดียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โทร.0-2218-3945

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ