รายงานพิเศษ จากหนังสือพิมพ์ คมชัดลีก ฉบับวันที่ 14-15 ก.ย.62
*****************************
มาช้ายังดีกว่าไม่มา...แต่ควันหลงยังไม่จางหายกับดราม่าภาพวาด “พระพุทธรูปอุลตร้าแมน” ซึ่งจัดแสดงที่ศูนย์การค้าแห่งหนึ่งใน จ.นครราชสีมา
เรื่องนี้จบไปเบื้องต้นเมื่อเจ้าของงานซึ่งเป็นนักศึกษาหญิงปี 4 หลักสูตรศิลปศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ได้เดินทางไปกราบขอขมาต่อพระเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา โดยมีผู้ใหญ่หลายท่านประกบใกล้ชิด
ภาพต้นเรื่องที่เวลานี้ได้ข่าวว่าราคาประมูลไปไกลหลักล้านแล้ว
น้ำตาหยดเล็กๆ ของผู้รังสรรค์ผลงานอาจทำให้หลายคนเห็นใจและพากันเข้าไปให้กำลังใจเธอในเฟซบุ๊ก “นิ่ม เต๊อะเติ๋น” แต่มากกว่านั้นคือคำถามว่าที่สุดแล้ววิวาทะระหว่าง “เสื่อม” กับ “ศิลป์” คงต้องวนเวียนแบบนี้ทุกกาลสมัย เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก และคงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย
แต่หากคำคมของ ศ.ดร.ศิลป์ พีระศรี ที่ว่า “ชีวิตสั้น ศิลปะยืนยาว” ยังคมอยู่ ช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมากับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ภาพวาดงานศิลป์ในท่วงทำนองเดียวกันนี้เราน่าจะเห็นแล้วว่าอะไรเกิดขึ้น แล้วดับไป แต่อะไรที่ยังคงอยู่?
คนละมุม คนละความ
ราวปี 2514 ซึ่งนับว่าไกลมากจากยุคเอไอ-ไซเบอร์แบบตอนนี้ บรรยากาศงานศิลปะของไทยเราที่เปิดเผยในวงกว้างให้คนไทยตามซอกซอยได้มีโอกาสรู้เห็น อาจวนเวียนอยู่กับคนไม่กี่คนที่เป็นคนดัง
หนึ่งยอดฝีมือที่รั้งแชมป์ตลอดกาล อย่าง "ถวัลย์ ดัชนี" ช่างเขียนรูปแห่งดอยสูงเชียงราย ก็ยังหนีไม่พ้นดราม่า แถมที่เคยเจอยังแย่กว่าที่คิด
เพราะเช้าวันที่่ 6 ตุลาคม 2514 หนังสือพิมพ์ลงข่าวภาพเขียนของ อ.ถวัลย์ ที่ถูกทำลายจากฝีมือของนักเรียนขาสั้นกลุ่มใหญ่ที่เข้าไปทุบตีเฟรมภาพ กรีดทำลายภาพวาด ซึ่งจัดแสดงอยู่ที่สำนักกลางนักเรียนคริสเตียน (ราชเทวี กรุงเทพฯ) หลังจากที่ก่อนหน้านั้น 2-3 วัน มีคนเข้ามาดูภาพแล้วถ่ายรูปไปก่อนที่จะเกิดเหตุนี้
ศิลปินร่างใหญ่ หลังเสร็จธุระข้างนอกกลับมาเห็นถึงกับไฟลุก น้ำตาหลั่ง แต่อะไรคงไม่ลามไกลเท่ากับข่าวที่พากันรายงานเรื่องและนำภาพไปลงจนกลายเป็นไฟลามทุ่ง
โดยภาพที่จัดแสดงทั้งหมดราว 30 ภาพ มี 4-5 ภาพที่โดนวิจารณ์และถูกทำลาย คือภาพผู้ชายกล้ามใหญ่แต่มีศีรษะเป็นวัว ยืนถือเศียรพระพุทธรูปที่ถูกตัดเอาไว้ในมือ, ภาพผู้ชายยืนหันหลังเปลือยกาย แต่หัวเป็นเหมือนเศียรพระพุทธรูป, ภาพผู้ชายเปลือยกายหันหน้าแต่เอาระฆังวัดไปแขวนไว้ที่อัณฑะ มีหลังคาโบสถ์แทนที่ตรงศีรษะ และภาพพระสงฆ์ที่ถือตาลปัตรเป็นรูปลูกตาแทนศีรษะ
วันนั้นเจ้าของผลงานกล่าวหลายคำ แต่คำหนึ่งเขาสรุปว่า “ถ้าโลกนี้ไม่มีความเลว แล้วเราจะรู้ว่าคนดีนั้นเป็นอย่างไร ดังนั้นจึงอาจเป็นไปได้ว่าคนที่ดูภาพเขียนนั้นได้แปลความหมายของภาพเขียนนั้นผิดไป”
เป็นอันว่าคนไทยในยุคนั้นรับไม่ได้กับภาพของถวัลย์ มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจนเจ้าของผลงานตกเป็นจำเลยสังคม ต้องหลบลี้หนีไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศอย่างกับนกปีกหัก
แต่นั่นคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อ 48 ปีก่อน หรือเกือบกึ่งศตวรรษที่ผ่านมา เป็นความท้าทายของคนอย่างศิลปินจากเหนือสุดสยามที่กล้านำงานศิลป์-งานพุทธ มาตีแผ่อย่างร้อนแรงไว้ในเฟรมเดียวกัน
และยังเป็นความย้อนแย้งอย่างสุดขั้วเมื่อเทียบกับยุคสมัยที่คนไทยยังอาจมีมุมคิดที่ถูกตีกรอบข่าวสารไว้แค่ทีวีไม่กี่ช่องกับหนังสือพิมพ์ไม่กี่หัว
มองบัวไม่เป็นบัว
แม้ที่สุดแล้วเรื่องราวของถวัลย์ ดัชนี จะผ่านร้อนหนาว-หลับตื่น มาจนได้รับการยอมรับเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ปี 2544 เป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกของศิลปะ
สังคมไทยก็เติบโตไปกับบรรยากาศแห่งยุคสมัยที่เรียกว่า “โลภาภิวัตน์” ตามระเบียบโลกใหม่ที่เน้นการค้าเสรีด้วย
แต่ในปี 2547 คนไทยต้องถกเถียงกันอีกครั้งกับภาพชุด “อย่าเห็นกงจักร ยักษ์เป็นดอกบัว” ของ “สมศักดิ์ รักษ์สุรรณ” ศิลปินชาวตรัง
“อย่าเห็นกงจักร ยักษ์เป็นดอกบัว” ของ “สมศักดิ์ รักษ์สุรรณ”
กับภาพหัวโขนยักษ์ประกอบภาพหญิงเปลือยที่เน้นคำว่า NUDE โดยลักษณะของยักษ์ที่ศิลปินวาดคือรูปยักษ์โขนที่ถือเป็นครูบาอาจารย์ของโขน แถมทุกภาพจะมีภาพหญิงเปลือยประกอบอยู่หมด
หากหนนี้ศิลปินมีโอกาสได้แจงผ่านสื่อโทรทัศน์รายการดัง สองฝั่งฝ่ายโต้เถียงกันในรายการเสมือนตัวแทนของคนไทยวงนอกที่ก็ทุ่มเถียงไปมาเช่นกัน
ฝ่ายศิลปินที่มีกองหนุนเป็นนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยศิลปากร ฝ่ายเห็นต่างมาจากวิทยาลัยนาฏศิลป์
ขณะที่เจ้าตัวก็แจงว่าตนมิได้มีจิตคิดลบหลู่ หากต้องการนำเสนอความคิดแปลกใหม่สำหรับศิลปะร่วมสมัย
แต่สุดท้ายเมื่อทางรายการได้เปิดโหวตผ่านทาง SMS อันเป็นนวัตกรรมที่คนไทยได้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นโต้ตอบได้แบบเรียลไทม์กับคำถามว่า “อิสระของศิลปินในงานชุด อย่าเห็นกงจักร ยักษ์เป็นดอกบัว" เห็นด้วยหรือไม่
ผลปรากฏว่า คนไทยจำนวนกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ไม่เห็นด้วย พูดง่ายๆ ว่าพวกเขาไม่ยอมรับงานชุดนี้และยังมีถ้อยคำที่แสดงความคิดผ่านทางหน้าจอโทรทัศน์อย่างรุนแรงอีกด้วย
ทุกวันนี้ อ.สมศักดิ์ ยังคงทำงานศิลป์ต่อไป ปัจจุบันรั้งตำแหน่งประธานที่ปรึกษาสมาคมศิลปินทัศนศิลป์นานาชาติแห่งประเทศไทย เป็นบุคคลที่ชาวตรังภูมิใจ
มีนาคมที่ผ่านมาเพิ่งจัดแสดงผลงานชุด “สำรวจตัวเอง” ออกสู่วงกว้าง และยังคงถ่ายทอดภาพหญิงสาวเปลือยกายและตนเองในศิลปะเชิงนู้ด สื่อความหมายถึงกิเลส เป็นท่วงทำนองเดิมๆ ที่เป็นสไตล์ของเขาต่อไป
แก่นแท้ตรงไหน
ถ้าจะกล่าวถึงคำว่าศิลปะ “ร่วม” สมัย แบบไม่ต้องเปิดตำรา ดูเหมือนว่าบริบทของสังคมที่เกิดขึ้นนับเนื่องมา ได้อธิบายคำคำนี้ไปเรียบร้อยแล้ว
ที่สุดเมื่อต่อเนื่องมาถึงกระแสโซเชียลเน็ตเวิร์ค คนไทยยังคงได้ยินข่าวคราวลักษณะนี้เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันด้วยความเร็วของสื่อ หากคราวนี้เราเริ่มสัมผัสได้ถึงกระแสเปิดกว้าง
ปี 2550 เรามีเคสของ อนุพงษ์ จันทร ศิลปินชาวปราจีนบุรี บัณฑิตและมหาบัณฑิตจากคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ผู้รังสรรค์งานอย่าง “ภิกษุสันดานกา”
งานนี้ศิลปินไม่เพียงวาดภาพพระสงฆ์สองรูปที่มีปากเป็นปาก “กา” และมีรอยสักเต็มตัวขณะที่กำลังแย่งสายสิญจน์กับตะกรุดที่อยู่ในบาตร แต่ถ้ามองดีๆ ลายสักยังเป็นรูปกบและตุ๊กแก แถมงานนี้ยังเป็นเทคนิคสีอะคริลิกบน “ผ้าจีวร” อีกด้วย
เจ้าตัวบอกว่าได้ความเชื่อเรื่อง “เปรตภูมิ” ซึ่งเป็นกุศโลบายที่ใช้เตือนสติให้มนุษย์มีความเกรงกลัวต่อผลแห่งกรรมและสร้างสำนึกให้ตั้งอยู่บนรากฐานของศีลธรรม
หากบังเอิญว่าในภาพเป็น “พระ” สังคมไทยส่วนหนึ่งก็ออกแนวรับไม่ได้ ช่วงนั้นหากจำได้ พระสุธีวีรบัณฑิต หรือ พระมหาโชว์ ทัศนีโย แกนนำสมัชชาชาวพุทธแห่งชาติออกมาต่อต้านอยู่พักหนึ่ง
แต่ดูเหมือนกระแสไม่เอาภาพชุดนี้จะน้อยกว่ากระแส “มองมุมกลับ” ที่ได้ก่อให้เกิดการเปิดพื้นที่พูดคุยมากขึ้นกว่าการก่นด่าแบบที่เคยเป็นมา
อนึ่ง ภาพนี้ได้รับรางวัลประกาศนียบัตรเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทองประเภทจิตรกรรมศิลปกรรมแห่งชาติครั้งที่ 53 และอีกหลายรางวัลการันตีฝีมือ
ปี 2554 เรามีเคสของศิลปินใหญ่จากเชียงรายอีกคน เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ไอเดียบรรเจิดสร้างงานออกมาเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนัง มีทั้งโดราเอม่อน อุลตร้าแมน คิตตี้ ฯลฯ ที่ถูกวาดลงบนฝาผนังในวิหารที่วัดร่องขุ่น อ.เมือง จ.เชียงราย
เฟซบุ๊ก กลุ่มคนรักอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์
ศิลปินแห่งชาติคนนี้ได้แจงตามสไตล์ว่า แท้ที่จริงแล้วฮีโร่ไม่มีในโลกนี้ แต่ฮอลลีวู้ดหรือญี่ปุ่นพยายามจะสร้างฮีโร่ขึ้นมา แต่ฮีโร่ที่แท้จริงก็คือมนุษย์ที่มีเมตตาไม่เบียดเบียนกัน
ไม่ต้องนับช่วง ปี 2555-2556 เรามีเคสเบาๆ ยิบย่อยสองเคส เป็นภาพว่อนเน็ต ภาพแรกคือพระพุทธรูปปางแมคโดนัลด์ อีกภาพคือพระพุทธรูปปางยับ-ยุม ทั้งสองภาพคนไทยโวยวายอยู่พักหนึ่งเรื่องก็เงียบเพราะไม่มีเจ้าภาพ
จนมาถึงปี 2562 ยุคสมัยแห่ง “พระพุทธรูปอุลตร้าแมน” หากเทียบกับที่แล้วมาเราอาจบอกว่าเคสหลังนี่ “ใสๆ”
เพราะทางหนึ่งบรรดาคนที่พากันแจ้งความดำเนินคดีต่อนักศึกษาเจ้าของผลงานและผู้เกี่ยวข้อง การกระทำนี้หลายคนเรียกว่า “ดราม่า” แต่ทางหนึ่งโลกออนไลน์ได้แชร์ข่าวภาพนี้ว่าได้รับการประมูลปั่นราคาต่อไปจนมีแตะหลักแสนหลักล้าน เพื่อนำเงินไปช่วยทางการแพทย์
หลายคนบอกแม้ภาพจะถูกทำลาย แม้ภาพจะหายไป ต่อให้การประมูลไม่ประสบความสำเร็จแต่โลกทุกวันนี้ได้บันทึกทุกอย่างไว้หมดแล้ว ดังนั้นภาพนี้จึงได้ทำหน้าที่ของมัน และเชื่อว่าคงจะทำหน้าที่บางอย่างต่อไปในคนรุ่นหลัง
******************************
ข่าวที่เกี่ยวข้อง