คอลัมนิสต์

 ระเบิดกลางกรุง ท้าทาย"บิ๊กตู่"

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

คอลัมน์...  กระดานความคิด   โดย... ร่มเย็น 

 

   

          ระเบิดที่เกิดขึ้นพร้อมกันหลายจุดกลางเมืองและสถานที่สำคัญๆ ในกรุงเทพมหานคร รวมทั้งหมดถึง 14 จุด ถึงตอนนี้ก็ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า  คนร้ายมาจากจังหวัดชายแดนภาคใต้

 

 

          อย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ก็บอกว่า กลุ่มที่เข้ามาก่อเหตุมาจากจังหวัดชายแดนภาคใต้


          ซึ่งสอดคล้องกับรายงานข่าว ที่ว่า ตัวการสำคัญคือ นายอาแบ เป็นหัวหน้าคนร้ายที่วางระเบิด ถูกจับได้บริเวณตะเข็บชายแดนภาคใต้ ก่อนหลบหนีไปประเทศเพื่อนบ้าน โดยนายอาแบ เป็นคนที่นำระเบิดไปให้สองคนร้ายวางที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) 


          ส่วนสาเหตุในการวางระเบิดครั้งนี้ ยังไม่แน่ชัดว่ามาจากสาเหตุใดกันแน่ โดยทางการมีการตั้งไว้หลายประเด็นด้วยกัน  


          พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) บอกว่า สาเหตุเพราะต้องการทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นต่อรัฐบาล เนื่องจากเกิดเหตุในช่วงที่บ้านเมืองมีผู้นำต่างประเทศมาประชุมงานด้านการต่างประเทศ และ ผบ.ทบ.ได้เปรียบเทียบให้เห็นว่า เหตุการณ์ระเบิดแบบนี้ เคยเกิดขึ้นมาแล้วตอนที่ประเทศเราเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมอาเซียนเมื่อปี 2552 ที่พัทยา, ที่ จ.ภูเก็ต และที่หัวหิน


          อย่างไรก็ตาม มีคนตั้งข้อสังเกตว่า อาจเกี่ยวข้องกับช่วงนี้ที่ทางการรุกหนักที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เจ้าหน้าที่มีการบุกไปจับกุมตัวคนถึงในบ้าน จึงมีการตอบโต้กลับ เพื่อให้เห็นว่า “คุณเล่นผม ผมก็เล่นคุณได้” 

 

          และที่ผ่านมา ก็มักเกิดเหตุในลักษณะนี้ว่า เวลาใดที่ทางบ้านเมืองเข้ม เคร่งครัด กวดขัน ในการดูแลจังหวัดชายแดนใต้ ก็จะมีระเบิดเกิดขึ้น เพียงแต่ไม่ใช่ที่กรุงเทพฯ เท่านั้น    



          การลงพื้นที่ตรวจราชการที่ จ.ยะลา เมื่อวานนี้ (7 ส.ค.) ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ถูกจับตามองว่า อาจเป็นผลมาจากเหตุระเบิดในกรุงเทพฯ เพราะว่าที่จริง นายกฯ ไม่ต้องลงไปด้วยตัวเองก็ได้  


          ซึ่งนายกฯ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการไป จ.ยะลา ว่า เป็นพื้นที่สำคัญที่ชาวบ้านวิตกกังวลในเรื่องของวันฮารีรายอ ที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 11 สิงหาคมนี้ ซึ่งปกติก็มีการเข้มงวดอยู่ตลอดเวลา แต่ช่วงวันดังกล่าวก็จะต้องเข้มงวดมากขึ้นจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น


          อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่า เหตุระเบิดที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ไม่น่าจะมี “นักการเมือง” เข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะทุกวันนี้ “นักการเมือง” ต้องการให้บ้านเมืองอยู่ในสภาวะอย่างที่เป็นอยู่ คือ มีการเลือกตั้ง กลับคืนสู่ประชาธิปไตย ซึ่งขณะนี้ก็มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้วิธีการรุนแรงอย่างเช่นระเบิด เพราะวิธีการดังกล่าว มีแต่จะทำให้บ้านเมืองกลับไปสู่ภาวะไม่ปกติอีกครั้ง และ “อำนาจพิเศษ” ก็จะกลับมา


          “ในอดีตทุกครั้งที่ใกล้ปีงบประมาณ จะมีการเคลื่อนไหวในลักษณะรูปแบบนี้ เพื่อให้ได้งบเกี่ยวกับความมั่นคง แต่วันนี้คงไม่ใช่แล้ว”


          แต่มีประเด็นที่น่าสนใจว่า อาจเกี่ยวข้องกับกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ ควบอำนาจความมั่นคงอย่างชนิดเบ็ดเสร็จ ทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ดูทหาร, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จึงมีการ “ลองของ” ท้าทายอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างการวางระเบิดหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็เกิดขึ้นก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะเดินทางไปเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ  (ก.ตร.) ที่ สตช. เพียงวันเดียว


          อีกทั้งหากมองย้อนไปในช่วง “รัฐบาล คสช.” สิ่งที่ได้รับความนิยมจากประชาชนมากที่สุด ก็คือ การรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง บ้านเมืองสงบเรียบร้อย แทบไม่มีม็อบ หรือเหตุระเบิดทำนองนี้ห่างหายไปนาน  


          แต่เมื่อมาถึงตอนนี้เกิดเหตุระเบิดขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ก็จะถูกมองว่า ไม่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองได้เหมือนเดิม ความเชื่อมั่นที่เคยมีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ ในเรื่องการรักษาความมั่นคง ความสงบเรียบร้อยที่เคยมีมาแต่เดิม ก็ถูกสั่นคลอน


          และเมื่อใดที่ “รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์” ถูกมองว่า ไม่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยได้ ก็แทบไม่มีค่าเหลืออยู่เลย เพราะจุดเด่น จุดแข็งที่สุดถูกทำลายลงเสียแล้ว เพราะแม้ว่าปัจจุบัน คสช.จะหมดอำนาจไป และไม่มีมาตรา 44 แล้ว แต่ความสงบเรียบร้อยก็ยังเป็นที่ต้องการของผู้คนอยู่


          ยิ่ง พล.อ.ประยุทธ์ดึงอำนาจทั้งทหาร ตำรวจ ดีเอสไอ มาดูเอง และเป็นหัวหน้าดูเศรษฐกิจเองด้วย แสดงว่า พล.อ.ประยุทธ์อยากนั่งกลางใจและเป็นความหวังของผู้คน แต่ถ้าวันนี้ความสงบเรียบร้อยที่เคยควบคุมได้หายไป เกิดเหตุความไม่สงบขึ้น ก็จะทำให้่เศรษฐกิจแย่ลงอีก แล้วถ้ารัฐบาลกู้ภาวะเศรษฐกิจไม่ได้ รัฐบาลชุดนี้ก็หมดเครดิต


          ดังนั้นไม่ว่าระเบิดจะเกิดจากสาเหตุใด แต่เสียงระเบิดก็ได้ดิสเครดิตผลงานของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เคยสร้างในเรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อย ไปแทบหมดแล้ว


          หนทางที่ พล.อ.ประยุทธ์จะเรียกความเชื่อมั่นของประชาชนกลับคืนมา ก็คือ การติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุให้ได้ อย่าให้เรื่องนี้หายเงียบไป ซึ่งตามข่าวคนร้ายมีทั้งสิ้น 15 คน ตอนนี้ก็ได้มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยได้หลายคนแล้ว ถือว่ารัฐบาลกำลังเดินมาถูกทางแล้ว  


          แต่ที่สำคัญ คนร้ายที่จับได้จะต้องไม่ใช่ “แพะ” แต่ต้องเป็นคนร้ายตัวจริง  

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ