รายงาน...
พระเจ้าช่วยกล้วยทอด เวลาไม่ถึงปีตำรวจกับเทศกิจ กทม. ช่วยกันจับพวกมักง่ายขี่มอเตอร์ไซค์บนทางเท้าเกือบ 2 หมื่นราย ฟันค่าปรับอื้อซ่า 10 ล้านกว่าบาท
ตัวเลขการจับปรับโชว์ออกมาแบบนี้ แสดงว่าวงการสิงห์นักบิดบ้านเรามีพวกมักง่ายปะปนอยู่ไม่ใช่น้อย เพราะตัวเลข 2 หมื่นรายที่ว่านี้ แค่เฉพาะพวกที่ถูกจับได้ตอนเจ้าหน้าที่ออกปฏิบัติงานเท่านั้นเอง แต่ยังมีพวกเล็ดลอดสายตา หรือพวกขับซ่าอยู่นอกพื้นที่กวดขันของตำรวจและเทศกิจอีกไม่รู้เท่าไร ?
บรรดาสิงห์มอเตอร์ไซค์ทั้งหลายเห็นข้อมูลแบบนี้คงต้องทำใจว่า ภาพลักษณ์บนท้องถนนของชาวสองล้อเครื่องทุกวันนี้มันช่างแย่เอาเสียจริงๆ !
ยิ่งพักหลังมีรายงานข่าวเรื่องจักรยานยนต์ขับชนคนบนฟุตบาทอยู่บ่อยๆ ยิ่งเสียหายหนัก
หากจำกันได้ ครั้งที่นักเรียนหญิงโรงเรียนบดินทร์เดชา 3 ถูกหนุ่มเมสเซนเจอร์ขี่มอเตอร์ไซค์ชนบนทางเท้าจนได้รับบาดเจ็บ บริเวณปากซอยลาดพร้าว 69 ใกล้กับโรงเรียน เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 โลกโซเชียลได้พากันประณาม ก่นด่า พวกขี่มอเตอร์ไซค์ที่มีพฤติกรรมมักง่ายเห็นแก่ตัวอย่างหนักหน่วง แถมพาลไปถึงตำรวจว่าปล่อยปละละเลย ปล่อยให้มอเตอร์ไซค์ยึดทางเท้าเป็นเลนจักรยานยนต์โดยไม่สนโลกแบบนี้ได้ไง
กระนั้น กรณีหนุ่มเมสเซนเจอร์จอมมักง่ายรายนี้ ถูกตำรวจดำเนินคดี 4 ข้อหา ทั้ง กระทำโดยประมาทและการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายและจิตใจ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390, ขับขี่รถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน, ขับรถบนทางเท้าโดยไม่มีเหตุสมควร และ ขับขี่โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 32, 43 (4) (7) (8), 157, 160
จากนั้นอีก 2 เดือนต่อมาเขาได้ถูกศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 2 เดือน โดยไม่รอลงอาญา แต่เจ้าตัวรับสารภาพและไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อน ศาลจึงปรานีเปลี่ยนโทษเป็นกักขัง 1 เดือน (กักขังในสถานที่กักขัง ซึ่งไม่ใช่เรือนจำ)
คำพิพากษาศาลในคดีนี้มีความน่าสนใจยิ่งเมื่อศาลพิเคราะห์รายงานสืบเสาะและพินิจจำเลยแล้ว เห็นว่าการที่จำเลยขับรถจักรยานยนต์ด้วยความเร็วบนทางเท้าเพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรที่ติดขัด เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของจำเลยแต่ฝ่ายเดียว โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยและความเดือดร้อนของผู้ใช้ทางเท้า จนเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนผู้เสียหายซึ่งเดินบนทางเท้าได้รับอันตรายแก่กาย อันเป็นการจงใจฝ่าฝืนกฎหมายที่มีไว้คุ้มครองผู้ใช้ทางเท้า และยังเป็นการขาดจิตสำนึกต่อสังคมส่วนรวม
อีกทั้งจำเลยเคยกระทำความผิดในลักษณะเดียวกันกับคดีนี้มาก่อน แต่ไม่ถูกจับดำเนินคดีอาญา พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง ไม่มีเหตุสมควรอื่นใดที่จะรอการลงโทษ ซึ่งในที่สุดแล้วศาลได้สั่งให้กักขังจำเลยเป็นเวลา 1 เดือนดังกล่าว
ที่สำคัญจักรยานยนต์ของกลางของจำเลยนั้น ถือเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง ศาลจึงมีคำสั่งให้ริบไว้ด้วย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1)
อย่างไรก็ตาม หนุ่มเมสเซนเจอร์ ได้ขอยื่นคำร้องขอประกันตัวเพื่ออุทธรณ์คดี ซึ่งศาลตีราคาประกันไว้ที่ 18,000 บาท
*อันธพาลบนบาทวิถี*
กระแสสังคมจางลงไม่นาน ฝันร้ายบนทางเท้าก็หวนกลับมาตามหลอนชาวกรุงเข้าอีกจนได้
ศศะวสุ ช่ำชองยนต์ หนุ่มใหญ่วัย 55 ปี คือเหยื่อความเห็นแก่ตัวของคนที่ถูกจัดอยู่ในประเภท “อีช่อ” ซึ่งหมายถึงคนไม่เคารพ กฎ กติกา มารยาท ของสังคม ตามที่นักการเมืองสาวแห่งสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่บัญญัติขึ้น เป็นรายต่อมา
ศศะวสุ ถูกจักรยานยนต์เจตนาพุ่งชนจนล้มกลิ้ง เพราะเสียงบ่นปนด่าของเขาดังไปสะกิดต่อมอันธพาลของคนขับมอเตอร์ไซค์ที่ขี่ขึ้นมาบนฟุตบาทตรงที่เขายืนอยู่โดยไม่ทันระวังตัว
ก่อนที่ ศศะวสุ จะถูกชน เขายืนรอรถอยู่ที่ป้ายรถเมล์ หน้าสำนักงานสถิติแห่งชาติ ถนนหลานหลวง แขวงและเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562
ระหว่างนั้นมีชายขี่จักรยานยนต์ซ้อนท้ายกันขึ้นมาบนทางเท้าและบีบแตรไล่ แต่ ศศะวสุ ไม่ยอมหลีกทางให้และยังพูดจาต่อว่าไป ขณะที่มอเตอร์ไซค์คันนั้นก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรและขี่ผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทว่าไม่ถึงนาทีต่อมา มอเตอร์ไซค์คันเดิมได้วกกลับมาและเจตนาพุ่งเข้าชน ศศะวสุ อย่างจังจนล้มคว่ำลงไปนอนกับพื้น ก่อนจะขี่หลบหนีไป หลายวันต่อมาตำรวจสามารถติดตามจับกุมคนก่อเหตุมาได้ ปรากฏว่าเป็นพ่อค้าขายเสื้อผ้าอยู่ที่ย่านโบ๊เบ๊ โดยสารภาพว่าโมโหที่ถูกคู่กรณีด่า ส่วนที่ต้องขับย้อนศรขึ้นมาบนทางเท้าก็เพราะเหตุผลมักง่ายคือ “รีบไปทำธุระ” ถ้าขับอ้อมจะเสียเวลาทำมาหากิน
*ไลน์แมนดวงซวยหวิดดับ*
หลังเหตุการณ์ของหนุ่มใหญ่ ศศะวสุ ผ่านไปไม่ถึง 3 เดือน ก็ถึงคราหนุ่มไลน์แมนดวงซวยโดนแว้นขาโจ๋วัย 19 ขี่มอเตอร์ไซค์ชนบนทางเท้ากับเขาบ้าง
เหยื่อนักบิดจอมมักง่ายรายล่าสุดนี้คือ ธนโชติ กลมเกลี้ยง พนักงานขี่มอเตอร์ไซค์รับ-ส่งของ “ไลน์แมน” ซึ่งในวันเกิดเหตุเขาได้รับออเดอร์จากลูกค้าให้ไปซื้อก๋วยเตี๋ยวราดหน้าใกล้ปากซอยเอกชัย 55 ย่านบางบอน
หลังจากได้ราดหน้าตามลูกค้าสั่งแล้ว ธนโชติ ซึ่งมีอาชีพที่ต้องใช้มอเตอร์ไซค์เป็นเครื่องมือทำมาหากินเหมือนกัน แต่เขาก็เคารพกฎจราจร ไม่เคยขี่รถขึ้นบนฟุตบาทเหมือนมอเตอร์ไซค์มักง่ายคันอื่น ก็รีบเดินออกจากร้านไปที่มอเตอร์ไซค์ของตนเองที่จอดอยู่ริมฟุตบาท
ทันใดนั้นก็มีจักรยานยนต์คันหนึ่งขี่ขึ้นมาบนทางเท้าและพุ่งเข้าชนเขาจนร่างกระเด็นไปฟาดกับม้าหินริมทางจนแน่นิ่ง ไม่รู้สึกตัว
ธนโชติ ได้รับการช่วยเหลือจากอาสาสมัครกู้ภัยนำส่งโรงพยาบาล แต่ไม่มีรายงานว่าอาการเขาเป็นอย่างไรบ้าง ส่วนลูกค้าที่ฝากซื้อราดหน้ากับเขาก็ไม่มีรายงานเช่นกันว่าภายหลังต้องเปลี่ยนไปรับประทานอาหารอะไรแทน
*จับเท่าไรไม่มีวันหมด*
สังคมออนไลน์วิพากษ์วิจารณ์กรณีหนุ่มไลน์แมนกันอย่างกว้างขวาง มีประเด็นหนึ่งที่ถกเถียงกันโดยไม่ได้ข้อสรุปคือ “สันดาน” กับ “การปล่อยปละละเลย” อะไรแก้ง่ายกว่ากัน
แต่ที่แน่ที่สุดคือสามวันหลังจากนั้น ปฏิบัติการคืนพื้นที่ทางเท้าให้ประชาชนก็เริ่มขึ้นอย่างเอาจริงเอาจัง ตั้งแต่เช้าวันที่ 31 พฤษภาคม 2562 โดย พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ ผบก.จร. พร้อมชุดปฏิบัติการ ศปอส.ตร.(TACTICS) ตำรวจ บก.จร. ตำรวจ ทท. เทศกิจ ทหาร และเจ้าหน้าที่กรมการขนส่ง บูรณาการกำลังกวดขันจับกุมผู้ฝ่าฝืนขับขี่จักรยานยนต์บนทางเท้าบริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า ถนนบรมราชชนนี แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กทม.
ปฏิบัติการครั้งนี้สามารถจับผู้กระทำผิดขี่รถจักรยานยนต์บนทางเท้าได้ทั้งหมด 104 ราย โดยเจ้าหน้าที่ บก.จร. พื้นที่ฝั่งธนฯ 50 ราย และเทศกิจพื้นที่ 50 เขต กทม. 54 ราย ขณะที่ข้อมูลจาก ผบก.จร.ระบุว่า บก.จร.มีผลการจับกุมผู้ขับขี่บนทางเท้าเดือนละ 100 กว่าราย ขณะที่ สน.ทั่ว บช.น. จับกุมต่อวันไม่ต่ำกว่า 700-800 ราย
ส่วนเทศกิจการจับกุมผู้กระทำผิดดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคม 2561 ถึงปัจจุบัน 19,899 ราย ยอดรวมชำระค่าปรับทั้งสิ้น 10,626,600 บาท ตัวเลขที่สูงขนาดนี้ แสดงให้เห็นว่า แม้เจ้าหน้าที่จะเข้มงวดกวดขันในการจับปรับคนขับมอเตอร์ไซค์บนทางเท้ามากแค่ไหน แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าพฤติกรรมมักง่ายเหล่านี้จะลดน้อยลงเลย
บางทีพฤติกรรมเหล่านี้อาจเกิดจาก "สันดาน" ที่ต้องยอมรับว่าแก้ยากจริงๆ อย่างที่ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ออกปากบ่นอย่างเหลืออดเมื่อครั้งที่ท่านลงมาสั่งการให้ 50 สำนักงานเขต สอดส่องและกวดขันไม่ให้มีการฝ่าฝืนกฎหมายอย่างเคร่งครัด หลังจากการเกิดเหตุมอเตอร์ไซค์ชนนักเรียนหญิงโรงเรียนบดินทร์เดชา 3
“ผมว่าคนขับต้องแก้พฤติกรรม และต้องแก้สันดานด้วยว่าอย่าไปทำแบบนั้น ผมไม่ได้พูดหยาบคาย เพราะสันดอนมันยังขุดได้ เอาจอบขุดได้ แต่สันดานขุดยาก ดังนั้น มนุษย์ต้องขัดเกลากันด้วยจริยธรรม คนที่ชอบขับขี่บนทางเท้า ลองคิดดูบ้างว่าลูกหลานของท่านโดนชนจะเป็นยังไง ฝากไปถามถึงคนที่ชนด้วยว่าถ้าคุณขี่ไปชนลูกตนเองบ้างจะรู้สึกยังไง”
*เลิกมักง่ายและดูกฎหมายให้ชัด*
การขับขี่จักรยานยนต์บนทางเท้า นอกจากมีความผิดในคดีการจราจรทางบกแล้ว ยังมีความผิดในคดีอาญา
ที่แย่ไปกว่านั้นพฤติกรรมเยี่ยงนี้เป็นการสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้ผู้ใช้ทางเท้าอย่างน่าละอายที่สุด
สำหรับความผิดของผู้ขับขี่จักรยายนต์บนทางเท้าที่สำคัญคือ
1. พ.รบ.จราจรทางบก 2522 มาตรา 43 (7) ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ ขับรถบนทางเท้าโดยไม่มีเหตุอันสมควร มาตรา 157 ผู้ใดฝ่าฝืน มาตรา 43(7) มีโทษปรับ 400-1000 บาท
2. พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง 2535 มาตรา 17(2) ห้ามมิให้ผู้ใดขับขี่รถจักรยานยนต์บนทางเท้า มาตรา 56 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 17 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท
ส่วนผู้ขับขี่จักรยานยนต์รับจ้างในพื้นที่กรุงเทพฯ หากฝ่าฝืนมีโทษ ดังนี้
ครั้งที่ 1 ห้ามวิ่งรับจ้าง 1 เดือน ครั้งที่ 2 ห้ามวิ่งรับจ้าง 3 เดือน ครั้งที่ 3 ห้ามวิ่งรับจ้าง 6 เดือน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง