คอลัมน์... กระดานความคิด โดย... บางนา บางปะกง
การจากไปของรัฐบุรุษสองแผ่นดิน ในห้วงเวลาที่สังคมไทยยังแตกแยกทางความคิด จึงมีคนไทยบางกลุ่มฉวยโอกาสใส่ร้ายป้ายสีผู้ใหญ่ของบ้านเมืองที่ล่วงลับ โดยมิได้คำนึงถึง “พื้นที่ความเป็นมนุษย์” เหมือนดังคำพูดของ จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.
อย่างกรณี “คำสั่งที่ 66/2523” หรือนโยบายการเมืองนำการทหาร ของอดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ก็มีบางคนพยายามบิดเบือนว่าเป็นผลงานของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ โดย พล.อ.เปรม ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ เหมือนจะโจมตีว่า ป๋าเปรมฉวยโอกาส
อันที่จริง การใช้นโยบายป้องกันและปราบปรามคอมมิวนิสต์ โดยใช้นโยบายทางการเมืองแทนการทหารนั้น มีนายทหารบางกลุ่มเสนอต่อจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี มาตั้งแต่ปี 2512 และได้มีการออกคำสั่งฉบับหนึ่งไปแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานมีความเข้าใจผิด หรือมีการตีความทางการเมืองที่แคบเกินไป คิดว่าการเมืองคือ วิถีทางรัฐสภาเท่านั้น
กระทั่ง ยุคสมัยของ “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีเงื่อนไขภายนอกและภายใน เอื้อต่อการรุกทางการเมืองอย่างเป็นเอกภาพ จึงได้มีคำสั่งที่ 66/2523 ว่าด้วยการต่อสู้เอาชนะคอมมิวนิสต์ โดยใช้การรุกทางการเมือง เมื่อ 23 เมษายน 2523
กว่าจะมาถึงวันที่ออกคำสั่งดังกล่าว ต้องย้อนไปดูจุดเปลี่ยนในชีวิตทหารของ “พล.ต.เปรม ติณสูลานนท์” ผู้บัญชาการศูนย์การทหารม้า (ยศและตำแหน่งขณะนั้น) เมื่อได้ไปดำรงตำแหน่งรองแม่ทัพภาคที่ 2 เมื่อ 1 ตุลาคม 2516
ถัดจากนั้นสิบกว่าวัน เกิดเหตุการณ์มหาวิปโยค 14 ตุลาคม 2516 บ้านเมืองมีความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง สถานการณ์การเมืองในยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน ส่งผลให้การต่อสู้ในเขตป่าเขาของพรรคคอมมิิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) เติบใหญ่ขยายตัว
ไฟสงครามลามไหม้ไปทั่วประเทศ “พล.ต.เปรม” ในฐานะรองแม่ทัพภาคที่ 2 ตัดสินใจไปปักหลักบัญชาการรบที่กองทัพภาคที่ 2 (ส่วนหน้า) จ.สกลนคร
“รองแม่ทัพเปรม” ได้เรียนรู้ปัญหาสงครามประชาชนอย่างถ่องแท้ จึงพบว่า ความยากจน ความเหลื่อมล้ำ และการถูกกดขี่ข่มเหงจากข้าราชการ เป็นต้นตอที่ทำให้ชาวอีสานเข้าป่าจับปืนต่อต้านรัฐ
ประกอบกับคณะเสนาธิการกองทัพภาคที่ 2 ได้นำเสนอยุทธศาสตร์ “บ้านล้อมป่า” ต่อรองแม่ทัพเปรม โดยเน้นการพัฒนาที่หมู่บ้าน และส่งเสริมการจัดตั้งองค์กรมวลชนคือ “ไทยอาสาป้องกันชาติ” (ทสปช.)
เมื่อได้เลื่อนตำแหน่งเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 จึงได้นำแนวคิดดังกล่าวไปปรับใช้เป็น “ยุทธศาสตร์มวลชน” หรือ “การเมืองนำการทหาร” และนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นจริง เมื่อต้นปี 2518
ยุทธศาสตร์มวลชนของ พล.อ.เปรม ทำให้กองทัพภาคที่ 2 ยึดครองฐานมวลชนในหมู่บ้าน ที่เป็นเขตอิทธิพลของ พคท.อีสานได้ ขณะเดียวกัน ก็ดำเนินยุทธการทางทหารในเขตป่าเขา กดดันให้นักรบและมวลชนของ พคท.ออกมามอบตัวจำนวนหนึ่ง
ปี 2523 พล.อ.เปรม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จึงออกคำสั่งที่ 66/2523 เรื่องนโยบายต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ โดยการรุกทางการเมือง มีผลบังคับใช้ทั่วประเทศ
เวลานั้น "พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ" ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมยุทธการทหารบก แต่มีภารกิจ “ลับเฉพาะ” ในการเดินทางไปปฏิบัติภารกิจ “การทูตใต้ดิน” มาตั้งแต่สมัยรัฐบาลเกรียงศักดิ์ ซึ่งการทำงานลับของ “บิ๊กจิ๋ว” ก็เป็นเงื่อนไขหนึ่งในการยุติการสู้รบในประเทศไทย
ต่อมา “บิ๊กจิ๋ว” ได้ควบตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายธุรการ กองอำนวยการรักษาความสงบแห่งชาติ(กอ.รมน.) เพื่อความคล่องตัวในการทำงานตามคำสั่งที่ 66/2523 ให้บรรลุผล
ผลงานโบแดงของ “บิ๊กจิ๋ว” คือ ภารกิจการทูตใต้ดิน เปิดการเจรจากับผู้นำกลุ่มสหายเขตงาน 444 อีสานเหนือ จนเกิดวันสันติภาพ 1 ธันวาคม 2525 มีสหาย 400 คน แบกปืนมามอบตัวต่อหน้า พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก ผบ.ทบ.สมัยโน้น
รูปธรรมของการมอบตัวครั้งใหญ่ ได้ส่งผลสะเทือนไปทั่วประเทศ นี่คือชัยชนะของกองทัพแห่งชาติต่อ พคท. โดยชูยุทธศาสตร์การเมืองนำการทหาร ได้นำประเทศไทยไปสู่การปรองดองชาติ และดับไฟสงครามประชาชน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง