คอลัมน์... กระดานความคิด โดย... ร่มเย็น
“ปล่อยผี” ไปก่อน สุดท้ายคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็รับรอง ส.ส.เขต 349 คน จากทั้งหมด 350 คนและรับรอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ 149 คนจากทั้งหมด 150 คน เนื่องจากมีการร้องคัดค้านการเลือกตั้งจำนวนมาก ประมาณ 400 เรื่องยังทำไม่เสร็จ โดยในจำนวนนี้เป็นการร้องว่าผู้สมัคร ส.ส.ขาดคุณสมบัติ เกือบ 50 เรื่อง อีกทั้ง กกต.มีอำนาจสอยภายหลังได้ภายใน 1 ปี หากพบว่าทำผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือขาดคุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส.
สำหรับเรื่องผู้สมัคร ส.ส.ขาดคุณสมบัติที่ถูกร้องกันมากก็เรื่องถือหุ้นสื่อ โดนกันหลายพรรคการเมือง
และโทษสำหรับผู้สมัครที่รู้อยู่แล้วว่าขาดคุณสมบัติแต่ยังสมัครนั้น หนักหนาสาหัส เพราะ พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ.2561 มาตรา 151 ระบุ จําคุก 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 -200,000 บาท และสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี
แถมยังมีการนำไปโยงกับการทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม แล้วร้องให้ยุบพรรคการเมืองนั้นด้วย
อย่างไรก็ตาม ยังมีความเห็นแย้งทางกฎหมายว่า ในเรื่องผู้สมัครรับเลือกตั้งขาดคุณสมบัติกับการทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม เป็นคนละเรื่องกัน จึงไม่อาจนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองได้
สำหรับในเรื่องผู้สมัคร ส.ส. ถูกร้องว่าขาดคุณสมบัติเพราะถือหุ้นสื่อนั้น เนื่องจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 98 บัญญัติว่า บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ...(3) เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ และ พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 42 ก็บัญญัติในทำนองเดียวกัน
ส่วนผู้สมัคร ส.ส. ที่ถูกร้องว่าขาดคุณสมบัติเพราะถือหุ้นสื่อนั้น จะต่อสู้ในประเด็นที่ว่า ขายหรือโอนหุ้นสื่อไปแล้วก่อนสมัครรับเลือกตั้ง หรือสู้ว่าตนเองไม่ได้ทำสื่อ เพียงแต่ว่าในหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัทระบุว่าทำสื่อด้วยเท่านั้น เพราะแบบฟอร์มของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุวัตถุประสงค์ไว้แบบครอบจักรวาล มีหลายข้อ, บ้างก็ต่อสู้ว่าซื้อหุ้นมาจากตลาดหลักทรัพย์ จะไปรู้ได้อย่างไรว่าเป็นหุ้นสื่อ เพราะปกติเวลาซื้อหุ้น ก็ไม่มีใครดูหนังสือบริคณห์สนธิกันว่าบริษัทนั้นจดแจ้งวัตถุประสงค์ไว้อย่างไรบ้าง, บ้างก็ต่อสู้ว่าได้ยกเลิกบริษัทที่ทำสื่อไปแล้ว
สำหรับในประเด็นที่ว่าขายหรือโอนหุ้นสื่อไปแล้วก่อนที่จะลงสมัคร ส.ส.นั้น เป็นเรื่องของข้อเท็จจริงของผู้สมัคร ส.ส. เป็นรายๆ ไป ถ้าผู้สมัคร ส.ส.รายไหน พิสูจน์ได้ว่าขายหรือโอนหุ้นสื่อไปแล้วก่อนสมัคร ส.ส. ก็ไม่ผิด
แต่ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ในเรื่องที่จดแจ้งในหนังสือหนังสือบริคณห์สนธิ ว่าทำสื่อ จะทำให้ขาดคุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส. หรือไม่
ก่อนอื่นมาทำความรู้จัก “หนังสือบริคณห์สนธิ” ว่า คือ ตราสารจัดตั้งนิติบุคคลชนิดหนึ่ง ที่กำหนดกรอบวัตถุประสงค์ของบริษัท และกำหนดรายละเอียดอื่นๆ ที่สำคัญของบริษัท เช่น เรื่องทุนเรือนหุ้นที่จดทะเบียน ผู้เริ่มก่อการ เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาถือหุ้นหรือผู้ที่จะมาติดต่อกับบริษัทที่จัดตั้งขึ้นได้รู้ว่าบริษัทมีขอบเขตธุรกิจแค่ไหน ใครเป็นผู้ดำเนินการก่อตั้ง มีเงินทุนเท่าใด นอกจากนี้หนังสือบริคณห์สนธิยังเป็นการแสดงเจตนาต่อคนทั่วไปในการจัดตั้งบริษัทด้วย
และคราวนี้มาดูการวางบรรทัดฐานเกี่ยวกับผู้สมัคร ส.ส.ถือหุ้นสื่อ ว่าดูจากหนังสือบริคณห์สนธิด้วยหรือไม่ ซึ่งมีคำพิพากษาศาลฎีกาออกมาแล้ว เกี่ยวกับผู้สมัคร ส.ส.ที่ถือหุ้นสื่อโดยเฉพาะ
นั่นก็คือ ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ในคดีที่นายภูเบศวร์ เห็นหลอด ผู้สมัคร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ เขต 2 จ.สกลนคร ถูกศาลสั่งให้ถอนชื่อ นายภูเบศวร์ ออกจากประกาศรายชื่อ ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งที่ 2 จ.สกลนคร ของพรรคอนาคตใหม่
ศาลฯ พิพากษาว่า "เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายภูเบศวร์ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจํากัด มาร์ส เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการสถานีวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ และออกหนังสือพิมพ์ นายภูเบศวร์จึงเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) และ พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 42 (3)
ส่วนที่นายภูเบศวร์ อ้างว่า ห้างหุ้นส่วนจํากัด มาร์ส เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส มีวัตถุประสงค์ดังกล่าว แต่ในความจริงไม่ได้ประกอบกิจการสถานีวิทยุกระจายเสียง โทรทัศน์ และออกหนังสือพิมพ์ นั้น ฟังไม่ขึ้น
แม้ต่อมาวันที่ 6 มีนาคม 2562 นายภูเบศวร์ จดทะเบียนเลิกห้างหุ้นส่วนจํากัด มาร์ส เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส แล้ว แต่เป็นระยะเวลาหลังจากผู้คัดค้านยื่นใบสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งแล้ว จึงต้องถือว่า ในวันที่นายภูเบศวร์ยื่นใบสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้คัดค้านยังเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เป็นเจ้าของ หรือผู้ถือหุ้น ในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชน
นายภูเบศวร์ จึงเป็นบุคคลอันมีลักษณะ ต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามบทบัญญัติดังกล่าวและไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร"
“สกัด” ออกมาจากคำพิพากษาศาลฎีกา ได้ว่า
1.ผู้สมัคร ส.ส. ขาดคุณสมบัติหากเป็นเจ้าของหรือถือหุ้น ในกิจการที่ระบุวัตถุประสงค์ว่าทำสื่อ (ซึ่งหลักฐานสำคัญก็คือ “หนังสือบริคณห์สนธิ")
2.การต่อสู้ว่า ในความจริงไม่ได้ทำสื่อ เพียงแต่ในหนังสือบริคณห์สนธิ ระบุว่าทำสื่อ ฟังไม่ขึ้น
3.การยกเลิกกิจการที่ทำสื่อนั้น ต้องเลิกทำก่อนวันที่ยื่นใบสมัคร ส.ส. หากเลิกทีหลัง ขาดคุณสมบัติ ผู้สมัคร ส.ส.
คำพิพากษาศาลฎีกา เป็นการวางบรรทัดฐานเกี่ยวกับหลักกฎหมายในเรื่องต่างๆ ว่าต้องเป็นเช่นไร
อย่างไรก็ตาม มือกฎหมาย “วิษณุ เครืองาม” รองนายกฯ กลับมองว่า คดีนายภูเบศวร์ เป็นเรื่องแปลกที่ศาลมีคำวินิจฉัยออกมาอย่างนั้น แต่อาจเป็นเพราะกรณีนี้ไปเขียนเติมวัตถุประสงค์ในตอนยื่นจดทะเบียนว่าประกอบกิจการสื่อมวลชน ซึ่งรายละเอียดมากกว่าในแบบฟอร์มมาตรฐาน ศาลจึงมองว่ามีความตั้งใจที่จะทำสื่อ แต่ถ้าเป็นรายอื่นที่ถือหุ้นธรรมดาในบริษัทแล้ววัตถุประสงค์ไม่ได้เขียนเติมไป แต่เป็นไปตามแบบฟอร์มมาตรฐาน “วิษณุ” เห็นว่าแบบนี้ไม่น่าเข้าข่าย
ต้องรอดูกันต่อไปว่า แค่แบบฟอร์มมาตรฐานสำเร็จรูป ระบุว่าบริษัทนั้นทำสื่อ จะทำให้ขาดคุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส.หรือไม่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง