คอลัมนิสต์

เข้าใจโรคซึมเศร้าในวัยรุ่น

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

คอลัมน์... รู้ลึกกับจุฬาฯ

 

 

          เหตุการณ์การฆ่าตัวตายของนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยหลายรายในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันเมื่อสัปดาห์เศษๆ ที่ผ่านมา ก่อให้เกิดกระแสตื่นตัวเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าและปัญหาการฆ่าตัวตายของวัยรุ่นในสังคมไทย งานจุฬาฯ เสวนาครั้งที่ 18 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา จึงใช้หัวข้อ “เข้าใจปัญหาเยาวชนกับภาวะซึมเศร้า” เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการหาแนวทางคลี่คลายปัญหา ผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็น นักจิตวิทยา นักการศึกษา จิตแพทย์ และ องค์กรอาสาสมัคร ร่วมเป็นวิทยากรบนเวทีเสวนาครั้งนี้ ซึ่งจัดขึ้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

 

          ผศ.ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ หัวหน้าศูนย์สุขภาวะทางจิต อาจารย์สาขาจิตวิทยาการปรึกษา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในวิทยากรของงานเสวนาอธิบายว่า อาการเศร้าเป็นอารมณ์ทั่วไปที่เกิดขึ้นได้สำหรับมนุษย์ แต่กระบวนการฟื้นฟูจากอาการของแต่ละคนไม่เหมือนกัน หลายคนเมื่อเศร้าแล้วกลับมาสู่สภาพเดิมได้ แต่หลายคนมีอาการซึมเศร้าหนักขึ้น และกลายเป็นโรคซึมเศร้าตามมาในท้ายสุด


          ทั้งนี้ มีงานวิจัยที่ชี้ว่าอาการซึมเศร้าจะถูกกระตุ้นจากอาการเสียศูนย์จากปัจจัยต่างๆ เช่น การถูกประเมิน ทั้งคะแนนสอบ เมื่อผิดหวังไม่ได้สิ่งที่ต้องการก็จะเสียศูนย์ หรือแม้แต่ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ความรักความสัมพันธ์ และความรู้สึกผิด ก็ล้วนมีผลเช่นกัน


          “แม้แต่คนที่เกิดอาการเสียศูนย์อย่างฉับพลันก็ไม่เหมือนกัน แต่ละคนมีวิธีรับมือต่างกัน ขึ้นอยู่กับสิ่งที่อยู่ภายในตัวว่าจะทำให้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นร้ายแรงแค่ไหน เนื่องจากคนแต่คนมีประสบการณ์ชีวิตต่างกัน มีรูปแบบความคิดต่างกัน มองโลกไม่เหมือนกัน”


          และเป็นเหตุให้การแสดงออกของแต่ละบุคคลต่างกันไปด้วย บุคคลที่มีอาการซึมเศร้าอาจมีพฤติกรรมบางประการที่ต้องการความช่วยเหลือและการสนับสนุน ดังนั้นปัจจัยแวดล้อม เช่น ครู เพื่อน ครอบครัว จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเป็นที่พึ่งพิง

 



          ผศ.ดร.ปิยวรรณ วิเศษสุวรรณภูมิ หัวหน้าภาควิชาวิจัยและจิตวิทยาการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ อธิบายว่า งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคซึมเศร้าในนักศึกษาพบว่า นักศึกษาที่เรียนชั้นปีสูง ยิ่งมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่า และมีมากกว่าร้อยละ 6.4 ที่ฆ่าตัวตาย


          งานวิจัยชี้อีกว่า ชีวิตของนักศึกษากว่า 50 เปอร์เซ็นต์เกี่ยวข้องกับการเรียนหนังสือ ดังนั้นครูอาจารย์จึงมีบทบาทสูงมากในความชอบหรือไม่ชอบในการเรียน ขณะเดียวกัน คนที่นักศึกษาขอรับความช่วยเหลือเป็นคนแรกคือเพื่อน ส่วนสาเหตุของการฆ่าตัวตายมาจากปัญหาการทะเลาะกับคนใกล้ชิด รวมถึงปัญหาจากการเรียนหนังสือ


          อาจารย์ปิยวรรณกล่าวว่า เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น การสอบได้คะแนนไม่ตรงตามความคาดหวังคือตัวแปรที่ทำให้เด็กอาจเกิดการเสียศูนย์ เด็กที่สอบได้คะแนนดีมาตลอด แต่เมื่อได้คะแนนลดลงอาจเกิดอาการไม่คาดคิด จนเกิดเป็นความเศร้า ขณะเดียวกันเด็กที่สอบได้คะแนนไม่ดีมาตลอด ก็เห็นคุณค่าตัวเองน้อย ดังนั้นการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่เด็กแต่ละคนจำต้องมีความหลากหลาย


          ผศ.นพ.ณัฐทร พิทยรัตน์เสถียร จิตแพทย์เด็กจากภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ อธิบายในมุมมองของแพทย์ว่าโรคซึมเศร้ามีสเปกตรัมคือความรุนแรงของโรคตั้งแต่ในระดับที่น้อย ไปจนถึงระดับที่มากจนต้องเข้ารับการรักษา ปัจจุบันพบว่ามีจำนวนผู้ป่วยที่มาพบแพทย์มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน โรคซึมเศร้าก็ยังถูกมองว่าเป็นโรคจิต ส่งผลให้ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าไม่ต้องการไปพบแพทย์ และไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นโรคซึมเศร้า


          ผู้ที่มีอาการซึมเศร้า จะมองโลกให้แง่ลบ มองในแง่สิ่งเลวร้าย และสามารถนำไปสู่ความคิดที่จะฆ่าตัวตาย การรักษาจำเป็นต้องอาศัยการปรับวิธีคิด และการสร้างเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ให้กับผู้ป่วยผ่านวิธีต่างๆ พร้อมทั้งการสร้างแนวทางให้กลับไปใช้ชีวิตได้ดังเดิม


          “ในทางการแพทย์ ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามีภาวะที่เรียกว่า ภาวะสิ้นยินดี คือไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่รู้สึกสนุกอะไรเลย กินไม่ได้ น้ำหนักลด นอนไม่หลับ เบลอๆ แต่ละคนมีอาการไม่เหมือนกัน หนักเบาต่างกัน วิธีการรักษาก็จะต่างกัน”


          พญ.ดุษฎี จึงศิรกุลวิทย์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กล่าวว่า โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่มีภาระโรคสูงสุด จากการตายก่อนวัยอันควรด้วยการฆ่าตัวตาย แต่ทุกวันนี้ยังถือว่าเป็นโรคที่จับต้องไม่ได้เพราะเป็นโรคน่าอาย


          ปัจจุบันกรมสุขภาพจิตทำเครื่องมืดคัดกรองและระบบพัฒนาเฝ้าระวังโรคซึมเศร้ามาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว แต่ในระดับวัยรุ่นยังไม่ถูกให้ความสำคัญเท่าที่ควร เพราะไม่ถูกให้น้ำหนักเท่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ขณะเดียวกัน การแสดงออกของวัยรุ่นที่เป็นโรคซึมเศร้า ยังคงถูกมองว่าเป็นปัญหาพฤติกรรม ทำตัวเกเร มากกว่าที่จะถูกมองว่าเป็นโรค


          พญ.ดุษฎี ยังระบุอีกว่าการนำเสนอข่าวการฆ่าตัวตายของนักศึกษาในสื่อ ที่มีการผลิตซ้ำและอธิบายถึงวิธีการกระทำ ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์เลียนแบบและทำให้อัตราการฆ่าตัวตายสูงตาม ในทางกลับกันหากมีการนำเสนอในสื่อเมื่อมีข่าวคนฆ่าตัวตายถึงวิธีการแก้ไขปัญหาและการรับมือกับโรคซึมเศร้า พบว่าการฆ่าตัวตายของประชาชนจะลดลง


          “การป้องกันการฆ่าตัวตายของวัยรุ่นมี 4 แนวทาง 1.การสร้างทักษะชีวิต วัยรุ่นต้องมองโลกตามความเป็นจริง จัดการอารมณ์และสังคมได้อย่างเหมาะสม 2.ไม่ผลิตข่าวซ้ำ 3.จำกัดวิธี เช่น เอาคนไปเฝ้าสถานที่สุ่มเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย และ 4.มีระบบเฝ้าระวัง เป็นโจทย์ของโรงเรียนและสถานศึกษาในการหาวิธี” คุณหมอดุษฎีกล่าวทิ้งท้าย

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ