คอลัมนิสต์

ตำนาน คนขี้เมื่อย จาก ออนเซน สู่ ออฟได้!!

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เหมือนคนไทยรู้กันว่า สถานที่แบบนี้ย่อมหนีการค้าประเวณีไปไม่พ้น เพราะมันไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แม้ว่ามันจะผิดดฎหมายก็ตาม!!

          ถ้ากล่าวถึงสถานบริการ “อาบ อบ นวด” สำหรับคนไทย มักเรียกรวมๆ กับคำว่า “ซ่อง”!

          นั่นทำให้หลายคนแปลกใจ เมื่อเห็นข่าวการเข้าทลายสถานบริการอาบอบนวด ล่าสุด ที่ "วิคตอเรีย ซีเคร็ท" อันโด่งดังย่านวังทองหลาง หรือกับ “นาตารี” ที่ต้องปิดตำนานอาบอบนวดชื่อดัง ไปก่อนหน้านี้

          ที่แปลกใจ เพราะเหมือนคนไทยรู้กันว่า สถานที่แบบนี้ย่อมหนีการค้าประเวณีไปไม่พ้น เพราะมันไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แม้ว่าเมืองไทยจะมีทั้ง พ.ร.บ.ปรามการค้าประเวณี 2503 มาจน พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี 2539 ก็ตาม

          เรื่องนี้ มีผู้รู้แบ่งลำดับธุรกิจอาบอบนวดจากอดีตถึงปัจจุบัน เป็น 3 ยุคคือ

          1.ยุคอาบอบนวดห้องแถวสมัยที่มีทหารจีไอเข้ามา

          2.ยุคอาบอบนวดครบวงจรบนถนนเพชรบุรีตัดใหม่

          และ 3.อาบอบนวดในคราบเอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์บนถนนรัชดาฯ และถนนพระราม 9 ที่ต้องขอย้อนรอยมาเล่าสู่กันฟัง

          โดยถ้าไม่นับ “ซ่อง” ที่ทุกแดนดินเปิดหน้าร้านกันมานานตั้งแต่ครั้งพุทธกาล อย่างบ้านเรา “โสเภณี” หรือ “หญิงงามเมือง” ก็มีกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา

          กระทั่งผ่านกาลเวลามาสู่ “หญิงโคมเขียว” ย่านสำเพ็ง, ตรอกเต๊า, ซ่องดังแถวแพร่งสรรพศาสตร์, เสาชิงช้า, บางลำพู, ซ่องป้าหยิบ, ซ่องป้าอบ ที่นักเที่ยวยุคหนึ่งรู้จักกันดี

          ไล่มาจนถึง ซ่องย่านแม้นศรี, เจ็ดเรือยอร์ช วิมานบนคลองแสนแสบ, โรงแรมจิ้งหรีด, กินข้าวต้มกลางวัน, ส้มตำหน้าขาวย่านหัวลำโพง หรือ ผีขนุนสนามหลวง หรือผีสวนสาธารณะต่างๆ หลากรูปแบบ หลากราคา ตามสภาพคล่องในกระเป๋านักเที่ยว

          กระทั่งช่วงทศวรรษที่ 60 ยุคสงครามเวียดนาม ที่มีทหารจีไอเข้ามาตั้งฐานทัพอยู่ในไทย การขายประเวณีที่เคยทำกับแบบเบิร์ดๆ จึงมีความซับซ้อนมากขึ้น !

          ช่วงนี้ เคยมีข้อมูลจากเว็บไซต์ www.ilikemassage.com เล่าว่า อาบอบนวดมีจุดแรกเริ่มจากดัดแปลงการอาบน้ำของชาวญี่ปุ่น หรือ ‘ออนเซน’ ในปี 2494 ชื่อว่า ‘บางกอกออนเซน’ ภายใต้การบุกเบิกของ “เสี่ยอำพล”

          โดยต่อมาปี 2512 ช่วงสงครามเวียดนาม ทหารจีไอเข้าประเทศเรามากขึ้น จากที่เคยอาบน้ำเฉยๆ เริ่มไม่สนุก จึงเพิ่มลูกเล่นเข้ามาทำการซื้อขายบริการ

          ปรากฏว่ารุ่ง! จนทำให้ธุรกิจอาบอบนวดผุดขึ้นอย่างกับดอกเห็ด โดยเฉพาะหลังถนนเพชรบุรีตัดใหม่กำเนิดเกิดขึ้น

          คือช่วงที่ 2 ของซ่องไทย ตอนนี้ได้อัพเกรดไปตลาดบน เป็น คอกเทลเลาจน์ และ อาบอบนวด ที่โด่งดังยุคแรกคือแถวถนนศรีอยุธยา

          โดยช่วงปี 2516-2519 สังคมไทยที่พัฒนาเติบโตจากฝีมือชนชั้นกลางในเมือง นักธุรกิจหัวเมือง ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น นักธุรกิจตระกูล “สุวรรณชีพ” และ “พยัคฆาภรณ์” เล็งการณ์ไกล เปิดอาบอบนวดในชื่อ“ชวาลา” บนถนนศรีอยุธยา

          “ชวาลา” มาจากชื่อของ ชวาลา สุวรรณชีพ (ต่อมาเป็นประธานบริษัท ซี.เอส.โฮล์ดิงกรุ๊ป จำกัด และยังเคยลงสมัครวุฒิสมาชิก ช่วงปี 2549) ที่ก่อตั้งอาบอบนวดในวัยเพียง 19 ปี กับ โอฬาริก พยัคฆาภรณ์ อดีตนักเรียนแห่งเตรียมปริญญามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง หรือ รุ่น 500 ซึ่งเป็นรุ่นสุดท้ายของโรงเรียนนี้ ร่วมก่อสร้าง ธุรกิจแห่งความสุขนี้มาด้วยกัน

          แต่เวลานั้น สำหรับ “ชวาลา” แล้ว ด้วยการดำเนินงานของคนรุ่นใหม่ความรู้ดี ไม่ใช่มนุษย์ป้าที่ไหน จึงนับเป็นปรากฏการณ์ที่อาบอบนวดไทยครบวงจร ทั้งไนต์คลับ และการบริการอาบน้ำ แถมยังสะสมกำไรชนิดที่อยู่ในระดับดีสุดๆ

          ไล่ๆ กันกับที่ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ที่เพิ่งตัดเสร็จในยุคนั้น อาบอบนวดก็ผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ดหน้าฝน เป็น “ถนนโลกีย์” ที่พ่อบ้านขี้เมื่อยหลงใหล แต่แม่บ้านไทยสุดรังเกียจ

          นับตั้งแต่ โซเฟีย ดาร์ลิ่ง โดยเฉพาะ “ซายูริ” ที่มีการนำการนวดแบบ “บีคอร์ส” นวัตกรรมการนวดแบบใหม่เข้ามาให้บริการ (โดย “บี” ย่อมาจาก breast แปลว่า หน้าอก)

          แต่คนที่เป็นตำนานถนนสายนี้ คือ เสี่ยศุภชัย อัมพุช ที่มีทั้ง แนนซี่, เมรี, แฟลตฉิมพลี ย่านพัฒนาการ, ซีซาร์พาเลซ, โมแกมโบ, วาเลนติโน่, ฮูหยิน, บีวา ฯลฯ

          คือถ้าจะถามหา “เจ้าพ่ออาบอบนวด” ย่านถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ก็ต้องคนนี้! โดยเขายังมี “เสี่ยเม้ง” และ “เจ้าสัวเกียรติ” มาร่วมลงทุนด้วย

          มาภายหลัง เสี่ยศุภชัยวางมือแล้วหันไปลงทุนเปิดห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ส่วน “เจ้าสัวเกียรติ” ก็พลิกไปเป็นผู้สร้างหนังไทยรายใหญ่เมื่อ 15 ปีที่แล้ว

          เหลือ “เสี่ยเม้ง” คนเดียวที่ยังทำธุรกิจอาบอบนวด จนเป็นเจ้าพ่ออาบอบนวดบนถนนเพชรบุรีตัดใหม่ในยุคหลัง

          ขณะที่ในทางหนึ่งของมุมมืด “ซ่อง” ก็ยังคงเป็นงานที่แฝงอยู่ในอาบอบนวด โดยเรียกขานกันว่า “ออฟ” คือพาไปต่อกันได้ และหลายที่ก็เปิดทำการที่สถานที่นวดนั้นเองได้เลย

          ต่อมาหลังจากการล่มสลายของสถานบริการย่านถนนเพชรบุรี อาบอบนวดก็ค่อยๆ ขยายมาสู่ย่านพระราม 9

          เรียกได้ว่า ราวช่วงปี 2530 ที่ถนนเส้นนี้มีสิ่งที่เรียกว่า “เอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์” ที่เปิดมาเพื่อสนองตอบชนชั้นกลางรุ่นใหม่กระเป๋าหนัก

          โดยถ้าพูดถึงที่แรก น่าจะเป็น “จูเลียน่า” หรือนักเที่ยวเรียกว่า “เจ๊จู” ของ “ป๋าวัช” ที่ยึดหัวหาดอยู่ก่อน ในบรรยากาศหรูหราไฮเอนด์ เข้ามาแล้วไม่เขิน

          แต่จูเลียน่าครองตลาดระดับบนอยู่ประมาณ 4 ปี ช่วงปี 2533 เป็นต้นไป เสี่ยชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ก็เข้ามา หลังจากเรียนจบมาจากอเมริกา ลงทุนขายหมู่บ้านจัดสรรจนรุ่ง ก็หันมาทำธุรกิจนี้

          เริ่มจากไปเช่าที่ของจูเลียน่าด้านหลัง เพื่อเปิด “วิคตอเรีย ซีเคร็ท” ราวปี 2535-2537 (บางแหล่งบอกว่าเป็นที่ดินของ โกเหม่ง เจ้าของโมนาลิซ่าและยูโทเปีย)

          ด้วยหัวคิดของเด็กนอก วิคตอเรีย ซีเคร็ท ต้องบอกวาโด่งดังสุดขีด แม้ว่าใบอนุญาตใช้ชื่อเดิมว่า “อุดม ออนเซน อมรินทร์” (ชูวิทย์ให้สัมภาษณ์ในรายการสภาท่าพระอาทิตย์ 14 ก.ค.2556)

          เวลานั้น “เสี่ยหนวด” ผู้ใช้นามแฝงว่า Davis Kamol กลายเป็น “เจ้าพ่ออ่าง” ในย่านพระราม 9 เป็นผู้บุกเบิก “รุ่นใหม่” ที่มีธุรกิจอาบอบนวด 6 แห่ง ในเครือเดวิสกรุ๊ป ไล่ชื่อโดยไม่เรียงลำดับ เช่น วิคตอเรีย ซีเคร็ท, เอมมานูเอล, ฮอนโนลูลู, โคปาคาบานา, บาร์บาร่า และ ไฮคลาส ข้างๆ เอมมานูเอล

          โดยเฉพาะช่วงปี 2540 ที่ฟองสบู่ฟูสุดๆ ในอ่าง มีคอมเพล็กซ์แบบนี้เกิดขึ้นตามมามากมาย เช่น โพไซดอน โนอาร์ ปิซ่า ฯลฯ

          โดยยังมี “โกลัก” ที่เปิด “นาตารี” ประกบ “เอ็มมานูเอล” เปิดหน้าเป็นคู่แข่งกันบนถนนรัชดาฯ ก่อนจะโดนกฎหมายค้าประเวณีจัดการไปก่อนหน้านี้

          แต่ในที่สุดหลายๆ ที่ ก็ล้มหายตายจากและเกิดใหม่ไปตามสภาพ อย่างของ “เสี่ยอ่าง” เขาก็ได้ขายทิ้งไปเพื่อเข้าสู่ถนนการเมือง

          โดยเฉพาะโรงนวดแห่งแรกในชีวิตธุรกิจสีเทาของเขา อย่าง “วิคตอเรียซีเคร็ท” ที่ปัจจุบันมีชื่อ “ป๋ากบ” หรือ บุญทรัพย์ อมรรัตนาศิริ เป็นผู้ดูแลกิจการ เวลานี้กำลังเดินเข้าสู่วงจรชีวิตช่วงสุดท้าย ที่จะต้องโดนปิด !! เมื่อถูก “จับได้” ว่าค้ากาม ค้ามนุษย์ !

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ