ข่าว

กรมควบคุมโรค เตือนอันตราย "สไตรีนโมโนเมอร์" แนะ 4 กลุ่มโรคต้องระวัง

06 ก.ค. 2564

กรมควบคุมโรค เตือนปชช.ระวังอันตรายจากสารเคมี "สไตรีนโมโนเมอร์" เหตุไฟไหม้ "โรงงานกิ่งแก้ว" พร้อมแนะวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อสัมผัสหรือสูดดมควันพิษ

วันที่ 6 กรกฎาคม 2564 นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีไฟไหม้โรงงานกิ่งแก้ว ซึ่งเป็นโรงงานผลิตโฟมและเม็ดพลาสติก และมีการระเบิดเกิดขึ้นทำให้มีควันพิษลอยขึ้นเต็มท้องฟ้า ส่งผลให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ได้รับผลกระทบต่อสุขภาพเป็นอย่างมากนั้น

 

 

ทาง กรมควบคุมโรค ได้สั่งการไปยังหน่วยงานในสังกัดทั้งในส่วนกลาง ได้แก่ กองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม ให้ติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์ของควันพิษอย่างต่อเนื่อง พร้อมทีมลงพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานในส่วนภูมิภาค ได้แก่ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 6 จังหวัดชลบุรี ให้ลงพื้นที่คัดกรองสุขภาพผู้ที่ได้รับผลกระทบในรัศมีที่เกี่ยวข้องในวันที่ 6-7 ก.ค.นี้ เพื่อประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยอีกครั้ง

 

โดยเน้นการเฝ้าระวัง 2 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยง จะมีการเฝ้าระวังติดตามผลกระทบด้านสุขภาพอย่างต่อเนื่อง 2.กลุ่มเจ้าหน้าที่เผชิญเหตุ ได้แก่ พนักงานดับเพลิง จะมีการตรวจคัดกรองสุขภาพเพื่อติดตามอาการและเฝ้าระวังผลกระทบหลังการปฏิบัติงาน

 

สารเคมีที่ทำให้เกิดควันพิษในครั้งนี้คือ สารเคมี "สไตรีนโมโนเมอร์" เป็นสารเคมีที่มีลักษณะเป็นของเหลว ใส ไม่มีสี แต่มีกลิ่นเฉพาะตัว สามารถกลายเป็นไอระเหยและลุกติดไฟได้ และพิษจากสารเคมีอื่น ๆ ที่เกิดจากการเผาไหม้สไตรีน ได้แก่ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ควันดำหรือฝุ่น PM10 และ PM2.5 ถ้าสูดดมเข้าไปจะทำให้เกิดการระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ ปวดศีรษะ มึนงง อ่อนเพลีย คลื่นไส้ และมึนเมา หากได้รับสารพิษปริมาณมากอาจทำให้เกิดอาการหมดสติและเสียชีวิตได้ หรือถ้าสัมผัสถูกผิวหนัง จะรู้สึกระคายเคืองผิว ทำให้ผิวแดง แห้ง และแตก ซึ่ง "สารสไตรีนโมโนเมอร์" ยังเป็นสารที่อาจก่อให้เป็นมะเร็งได้

 

นอกจากนี้ ผลกระทบจากควันพิษดังกล่าว หากประชาชนอยู่ในรัศมี 5 กิโลเมตร ให้อพยพด่วนที่สุด 7 กิโลเมตร ให้เฝ้าระวังสูงสุด และ 10 กิโลเมตร ให้เฝ้าระวัง

 

ซึ่งควันพิษอาจส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่มีความเสี่ยงป่วยจาก 4 กลุ่มโรค ดังนี้

 

1.กลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น เหนื่อยง่าย หัวใจเต้นเร็ว

 

2.กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น คัดจมูก น้ำมูกไหล แสบจมูกและลำคอ

 

3.กลุ่มโรคผิวหนังอักเสบ เช่น อาการคันตามร่างกาย มีผื่นแดงตามร่างกาย

 

และ 4.กลุ่มโรคตาอักเสบ เช่น อาการแสบหรือคันตา ตาแดง น้ำตาไหล และมองภาพไม่ค่อยชัด

 

ทั้งนี้ ประชาชนกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ กลุ่มเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคปอด หอบหืด ภูมิแพ้ เป็นต้น หากได้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกาย อาจทำให้เกิดการเจ็บป่วยหรือมีผลกระทบต่อสุขภาพที่รุนแรงมากกว่าประชาชนทั่วไป

 

 

นายแพทย์โอภาส กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับหลักการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อสัมผัสกับควันพิษ ดังนี้

 

1.หากโดนผิวหนัง ให้ล้างบริเวณที่ถูกสารเคมีโดยใช้น้ำสะอาดล้างให้มากที่สุดเพื่อให้เจือจาง ถ้าสารเคมีถูกเสื้อผ้าให้ถอดเสื้อผ้าออกก่อน

 

2.หากเข้าตา ให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันที โดยเปิดเปลือกตาขึ้นให้ไหลผ่านตาอย่างน้อย 15 นาที แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว

 

3.หากการสูดดมควันพิษเข้าไป ให้ย้ายผู้ป่วยไปที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์หรือมีอากาศถ่ายเท และทำการประเมินการหายใจ หรือการเต้นของหัวใจ ถ้าชีพจรอ่อนให้ทำการปั้มหัวใจช่วยชีวิต หรือ CPR และแจ้งไปที่เบอร์สายด่วนศูนย์แพทย์ฉุกเฉิน โทร 1669 

 

ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากควันพิษสวมใส่หน้ากากที่มีไส้กรองทำด้วยชาร์โคลเป็นวัสดุดูดซับ (CHACOAL MASK) และติดตามข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิดเพื่อเตรียมความพร้อมอยู่เสมอหากมีการประกาศอพยพเพิ่มเติม สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค โทร 02-590-3866

 

ข้อมูลจาก กองโรคจากการประกอบอาชีพฯ/สำนักสื่อสารความเสี่ยงฯ กรมควบคุมโรค