4 เดือน "สายพันธุ์อินเดีย" ยึดไทย เร่งทดลองเข็ม 3 กระตุ้นภูมิป้องกัน โควิด-19

เกาะติดสถานการณ์วิกฤติการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โรคโควิด-19 (COVID-19) ระลอกใหม่ ในประเทศ วันนี้ (22 มิถุนายน 2564) ที่ กรมวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของเชื้อไวรัสเป็นเรื่องปกติ โดยข้อมูลขณะนี้พบว่าสายพันธุ์เดลต้า (สายพันธุ์อินเดีย) เริ่มมีอัตราการแพร่ระบาดสูงขึ้น หากไม่มีการควบคุม คาดว่าในอีก 4 เดือนข้างหน้า สายพันธุ์เดลต้า (อินเดีย) จะมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นจนเข้ามาแทนที่สายพันธุ์อัล​ฟ่า (อังกฤษ) ซึ่งมีการระบาดอยู่ในขณะนี้ และเชื่อได้ว่าในอนาคตก็จะมีการเปลี่ยนแปลงของสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นอีก

นอกจากนี้ สายพันธุ์อัลฟ่า เบตา และเดลต้า ไม่ได้มีความรุนแรงของโรคเพิ่มขึ้น แต่มีผลต่อประสิทธิภาพของวัคซีน โควิด-19 โดยข้อมูลเบื้องต้นที่มีในขณะนี้ พบว่า สายพันธุ์เดลต้า หรือ สายพันธุ์อินเดีย มีความจำเป็นต้องเพิ่มการรับวัคซีน อย่างวัคซีนไฟเซอร์ ครบ 2เข็ม ก็ยังสร้างภูมิคุ้มกันได้เพียงร้อยละ 79 จากเดิมร้อยละ 90 ส่วนแอสตร้าเซนเนก้า สร้างภูมิคุ้มกันได้ร้อยละ 60 จากร้อยละ 80 ซึ่งพบว่าไม่เพียงพอต่อการป้องกันโรคโควิด-19 สำหรับสายพันธุ์เดลต้า

ขณะนี้ ทางศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิกกำลังเริ่มทำการทดลองการใช้วัคซีน โควิด-19 ของ ซิโนแวค หรือ ซิโนฟาร์ม 2 เข็ม ภูมิคุ้มกันในการป้องกันโรคได้น้อยเช่นกัน ประมาณร้อยละ30 สำหรับสายพันธุ์เดลต้า ทั้งนี้ ได้เสนอการใช้วัคซีนเข็มที่ 3 เพื่อช่วยกระตุ้นภูมิ ซึ่งเบื้องต้นพบมีการสร้างภูมิคุ้มกันเพิ่มสูงถึง 10 เท่า โดยจะต้องได้รับวัคซีนเข็มที่สามในระยะสามถึงหกเดือน

ส่วนจะสามารถเลือกใช้วัคซีน โควิด-19 แตกต่างชนิดกันได้หรือไม่ ตอนนี้ยังอยู่ในระหว่างการทดลองเรื่องความปลอดภัย และย้ำว่าสิ่งสำคัญในขณะนี้คือ การชะลอการแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลต้า หรือ สายพันธุ์อินเดีย เพื่อรอข้อมูลยืนยันเรื่องประสิทธิภาพและการใช้วัคซีน

ทั้งนี้ การจะเปิดประเทศในอีก 120 วัน จะทันกับแนวทางการปรับการฉีดวัคซีนหรือไม่นั้น นายแพทย์ ยง ย้ำว่า จะต้องลดจำนวนตัวเลขผู้ป่วยลง ซึ่งขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของประชาชนอย่างเคร่งครัด ควบคู่กับการปูพรมฉีดวัคซีนเพื่อควบคุมโรค