ข่าว

ทำความรู้จักโรค PTSD ที่ 'มีล่า Kamikaze' กำลังเผชิญ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ทำความรู้จักโรค PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) ที่ 'มีล่า Kamikaze' กำลังเผชิญ

กรณีนักร้องสาว มีล่า Kamikaze หรือ มีล่า จามิล่า พันธ์พินิจ เจ้าของเพลงฮิตในอดีต "ปากดีขี้เหงา เอาแต่ใจ" ได้เล่าเหตุการณ์ถูกน้องชายแท้ๆทำร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อ 2 ปีก่อน จนเธอต้องเผชิญกับโรค PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) หรือสภาวะป่วยทางจิตใจเมื่อเผชิญเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง

 

อ่านข่าว : มีล่า Kamikaze เล่าเหตุการณ์สุดสะเทือนใจที่ไม่บอกใครกว่า 2 ปี ถูกน้องแท้ๆทำร้ายปางตาย

 

 

 

 

สำหรับ โรค PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) ที่ มีล่า Kamikaze กำลังเผชิญอยู่นั้น พญ.วริษา กาญจนชัยภูมิ กุมารแพทย์ด้านจิตเวชเด็กและวัยรุ่นโรงพยาบาลเด็กสมิติเวช ศรีนครินทร์ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ว่า คือ สภาวะป่วยทางจิตใจหลังจากต้องเผชิญกับเหตุการณ์กระทบกระเทือนใจอย่างรุนแรง เหตุการณ์ร้ายแรงต่างๆ ที่ไม่คาดฝัน สถานการณ์อันตรายที่คุกคามต่อชีวิตของผู้นั้นหรือคนอื่นๆ ทั้งที่ต้องตกเป็นผู้เผชิญกับเหตุการณ์เองโดยตรง

 

หรืออาจได้เห็นเป็นพยานรับรู้ในเหตุการณ์ดังกล่าว รวมถึงการสูญเสียบุคคลที่รักในเหตุการณ์นั้นๆ ส่งผลให้เกิดความเครียดอย่างมาก เพราะเหตุการณ์นั้นมีความรุนแรงมากพอที่จะทำให้เกิดอาการและปัญหาในการยอมรับปรับตัว เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ใช่ความเครียดจากการสูญเสียทั่วไป แต่เป็นเหตุการณ์ที่มีความรุนแรงเกินกว่าปกติ อันได้แก่ 

 

- ภัยธรรมชาติต่างๆ อุทกภัย แผ่นดินไหว

 

- อุบัติเหตุร้ายแรง รวมถึงอุบัติภัยหมู่

 

- การก่อจราจล การต้องเผชิญกับสงคราม

 

- การฆาตกรรม บุคคลอันเป็นที่รักฆ่าตัวตาย

 

- การถูกทำร้ายร่างกาย คุกคามทางเพศ เช่น การถูกข่มขืน การถูกทรมาน

 

- เด็กที่อยู่ในครอบครัวหรือบ้านที่มีความรุนแรง

 

อาการของโรค PTSD คือ กลุ่มอาการที่เกิดได้กับทุกเพศและวัย ประกอบด้วย 4 ข้อ

 

1.คิดว่าอยู่ในเหตุการณ์นั้น (Re-experiencing) การคิดวนเวียนถึงเหตุการณ์นั้นซ้ำๆ หรือบางครั้งนึกถึงความทรงจำเลวร้ายนั้นขึ้นมาเอง ทำให้รู้สึกเหมือนต้องไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นซ้ำไปซ้ำมาจนตกใจกลัว (Flashback) ฝันถึงเหตุการณ์เหล่านั้นซ้ำๆ หรือมีปฏิกิริยาทางร่างกายและจิตใจเวลาต้องเจอสัญลักษณ์ สิ่งของหรือสถานการณ์ที่ลักษณะคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา

 

2.กลัวและหลีกเลี่ยง (Avoidance) กลัวสถานที่หรือสถานการณ์หลังจากประสบเหตุนั้นๆ หลีกเลี่ยงที่จะคิดและรู้สึกเกี่ยวกับสิ่งที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ ไม่กล้าเผชิญกับปัจจัยสิ่งเร้าภายนอกที่จะทำให้นึกถึงเหตุการณ์ เช่น กลัวสถานที่ สถานการณ์ กิจกรรม บทสนทนา

 

3.มีความรู้สึกนึกคิดในทางลบ (Negative alteration of cognition and mood) คือการไม่มีอารมณ์ในทางบวก ไม่มีความสุขและไม่สนใจที่จะร่วมกิจกรรมนั้นๆ การรู้สึกแปลกแยกจากผู้อื่น มีความเชื่อและคาดหวังที่เป็นไปในทางลบอย่างต่อเนื่อง มีการตีความขยายออกไปในทางลบ บางรายไม่สามารถจดจำส่วนที่สำคัญของเหตุการณ์นั้นได้ทำให้อาจมีความคิดบิดเบือนจากสาเหตุและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นตามมาของเหตุการณ์ ซึ่งความคิดดังกล่าวจะนำไปสู่การตำหนิตัวเองและคนอื่น ส่งผลให้มีอารมณ์ฝังใจในทางลบ ขี้โกรธ ขี้อาย ขี้กลัว รู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลา

 

4.อาการตกใจและหวาดกลัว (Hyperarousal symptoms) เป็นอาการคอยจับจ้อง คอยระวังตัว ตื่นตัว และมักมีอาการหงุดหงิด ตกใจง่าย โกรธง่าย รวมถึงสะดุ้งและผวาง่ายขึ้นกับเสียงดังๆ ส่งผลให้ขาดสมาธิ นอนหลับไม่สนิท หลับยาก หรือชอบสะดุ้งตื่นในขณะที่นอนหลับ

 

ปัจจัยที่บ่งบอกได้ว่าอาจอยู่ในภาวะ PTSD


- ความรุนแรงที่ได้รับ
 

- เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีความหมายต่อผู้ป่วยมากน้อยแค่ไหน
 

- ความยาวนานของระยะเวลาที่ประสบเหตุการณ์
 

- บุคลิกและวิธีการเผชิญต่อสภาวะความเครียดผู้ป่วยเอง
 

- อายุเด็ก
 

- ประสบการณ์เก่าที่เคยมีมาก่อน
 

- สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย
 

- การขาดการสนับสนุนจากสังคมรอบข้าง
 

- เด็กต้องเผชิญกับความยากลำบากทางด้านจิตใจสังคมอย่างต่อเนื่อง

 

PTSD คือ อาการที่ต้องเข้ารับการบำบัดรักษาหรือไม่? 

 

การรักษาช่วยเหลือถือเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญและรีบปฎิบัติทันที โดยเฉพาะอาการที่เกิดขึ้นในช่วงแรก เพราะถ้าเพิกเฉย ทอดทิ้ง ไม่รักษา หรือให้การช่วยเหลือช้าก็จะทำให้เด็กกลายเป็นผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรังไปนาน

 

การดูแลโรค PTSD ในเบื้องต้นควรทำอย่างไร

 

1.คอยติดตามอาการทางจิตใจ

 

2.ฟื้นฟูชุมชนให้กลับสู่ปกติโดยเร็ว

 

3.คัดกรองอาการ สังเกตพฤติกรรมและอาการของเด็ก

 

4.ประเมินระดับความบกพร่องในการใช้ชีวิตของผู้ประสบภัยเพื่อหาโรคร่วมทางจิตเวชที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น โรคซึมเศร้า , โรควิตกกังวล , โรคกลัว หรือ การใช้สุรายาเสพติด (โดยจำเป็นต้องมีผู้ปกครองเข้าร่วมในการประเมินด้วยอย่างยิ่ง)

 

 

วิธีการรักษา PTSD การรักษาทางด้านจิตใจ ประกอบด้วยการทำจิตบำบัด อันมีหลากหลายวิธี

 

1. Trauma-Focused Cognitive Therapy สำรวจและพูดคุยกับเด็กเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยแนะนำวิธีการให้รู้สึกผ่อนคลายกับการเผชิญสิ่งที่ทำให้ตื่นกลัว ปรับเปลี่ยนความเชื่อและความคิดบิดเบือนเกี่ยวกับอาการหรือเหตุการณ์ครั้งนั้น ฝึกให้ควบคุมความรู้สึกนึกคิดและรับมือกับอารมณ์ของตนเองได้

 

โดยมีผู้ปกครองมีส่วนร่วม เพื่อสร้างความเข้าใจโดยการให้ความรู้ผู้ปกครองกับเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เด็กพบเจอและปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นตามมาได้ รวมทั้งให้ทักษะผู้ปกครองในการช่วยปรับพฤติกรรมแก้ไขพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเด็กอย่างถูกต้อง

 

2. Cognitive-Behavior Therapy (CBT) การทำจิตบำบัดรายบุคคล พ่อแม่มีส่วนร่วมในการบำบัดรักษา Child-Parental Psychotherapy ,Family Therapy ถือเป็นการร่วมสำรวจแก้ไขจิตใจ อารมณ์ และหาวิธีการที่เหมาะสมที่พ่อแม่จะสามารถช่วยเด็กได้ เปลี่ยนแปลงและแก้ไขสิ่งแวดล้อม

 

คือ การให้ความรู้กับครู พ่อแม่ ผู้ป่วยเด็ก รวมถึงผู้เกี่ยวข้องเกี่ยวกับโรค PTSD ในทาง จิตเวชเด็ก โดยการร่วมพยากรณ์โรค การวางแผนให้ครอบครัวได้กลับพบกันและอยู่ด้วยกันโดยเร็ว การจัดกิจกรรมในโรงเรียนให้เด็กเข้าสู่ภาวะปกติเร็วที่สุด การจัดที่อยู่อาศัยให้มั่นคงปลอดภัย มีระบบการป้องกันการเกิดภัยพิบัติซ้ำ รวมถึงการฟื้นฟูชุมชน

 

การรักษาด้วยยา ปัจจุบันการใช้ยากลุ่ม SSRIs (Selective serotonin reuptake inhibitor) เช่น Sertraline, Paroxetine มีประสิทธิภาพในรักษาในผู้ใหญ่ ยังขาดข้อมูลสนับสนุนทางงานวิจัยในเด็ก ดังนั้นการใช้ยาในเด็กและวัยรุ่นควรจะพิจารณาเป็นรายๆไป

 

ขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์

 

 

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ