ข่าว

คุก1ปีขายหน้ากากแพง

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ศาลตัดสินจำคุก 5 ผู้ค้าหน้ากากเกินราคา 6 เดือน - 1 ปี 6 เดือน ปรับ 5 หมื่น ปชป.เดือดอีก "เทพไท" ยื่นเรื่องบี้ "มัลลิกา" ลาออกที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ ไม่ต้องรอผลสอบปมเอี่ยวกักตุนหน้ากาก "อัจฉริยะ" แจ้งเอาผิดอธิบดีค้าภายใน

          เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ต.ท.ปริญญา ปาละ รองผกก.สอบสวน กก.1 บก.ปคบ. นำกำลังเข้าควบคุมผู้ต้องหาในคดีจำหน่ายหน้ากากอนามัยเกินราคา ส่งฟ้องศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก จำนวน 7 คดี หลังอัยการมีความเห็นสั่งฟ้อง โดย 7 คดีนี้มีหน้ากากอนามัยของกลางกว่า 10,000 ชิ้นนอกจากนี้ตำรวจ บก.ปคบ. ยังนำสั่งฟ้องอีก 3 คดีด้วย แบ่งเป็นศาลอาญากรุงเทพใต้ 2 คดี ศาลอาญาธนบุรี 1 คดี

 

 

 

          พ.ต.ท.ปริญญา กล่าวว่าคดีนี้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการความรวดเร็วในการพิจารณาคดีเป็นพิเศษ เพราะหากปล่อยของกลางไว้นานอาจทำให้คุณภาพหน้ากากอนามัยเสื่อมสภาพได้ ควรนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในช่วงสถานการณ์เชื้อไวรัสโควิด-19 กำลังแพร่ระบาด ซึ่งผู้ต้องหาก็ยินดีที่จะมอบของกลางให้รัฐนำไปมอบต่อให้โรงพยาบาลและประชาชนที่ต้องการ

          เวลาต่อมาที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก พนักงานอัยการคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 2 ได้นำตัว น.ส.ณัปอิศรา ขอสุข นายพงษ์พันธ์ โสมสุด น.ส.น้ำฝน เอยศิริ น.ส.อุมาพร มั่นคง น.ส.นิศรา มหาเรือนขวัญ นางทัศพร ฉันทนาภิธาน และ น.ส.ตาว ตรีเทวี มายื่นฟ้องต่อศาลเป็นจำเลยในความผิดฐานจำหน่ายหน้ากากอนามัยซึ่งเป็นสินค้าควบคุมในราคาสูงเกินสมควรหรือทำให้ปั่นป่วนซึ่งราคาของสินค้า ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 มาตรา 29, 40 สืบเนื่องจากช่วงบ่ายที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) นำสำนวนคดีของผู้ต้องหาทั้ง 7 กรณีพวกจำเลยขายหน้ากากอนามัยเกินราคาควบคุมตามกฎหมายมาให้อัยการพิจารณาและนำตัวส่งฟ้องเป็นจำเลยต่อศาล

          โดยอัยการได้แยกฟ้องจำเลยคนละสำนวนรวม 7 สำนวน ศาลสอบคำให้การจำเลยทั้งหมดแล้วจำเลยทั้งหมดให้การรับสารภาพ ซึ่ง น.ส.อุมาพร มีหน้ากากอนามัยสีเขียวไว้ในครอบครองและจำหน่ายเกินราคา จำนวน 4 พันชิ้น ศาลพิพากษาจำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุก 1 ปี 6 เดือน น.ส.ตาว มีหน้ากากอนามัย จำนวน 750 ชิ้น พิพากษาจำคุก 2 ปี ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี น.ส.น้ำฝน มีหน้ากากอนามัย จำนวน 125 ชิ้น นายพงษ์พันธ์ มีหน้ากากอนามัย จำนวน 150 ชิ้น และ น.ส.ณัปอิศรา มีหน้ากากอนามัย จำนวน 150 ชิ้น พิพากษาจำคุก 1 ปี ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 6 เดือน

      อย่างไรก็ตามศาลพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่าจำเลยทั้งห้ามีการกระทำอันเป็นการฉกฉวยโอกาสที่ไวรัสโควิด-19 อุบัติร้ายแรงแพร่ระบาดไปทั่วโลก บุคลากรทางแพทย์และประชาชนมีความจำเป็นต้องใช้หน้ากากอนามัย สร้างความเดือดร้อนไปทั่วแต่จำเลยทั้งห้ากลับจำหน่ายหน้ากากอนามัยเกินราคาควบคุมที่กฎหมายกำหนดไว้ จึงเห็นสมควรไม่รอการลงโทษจำเลยทั้งห้า

          ส่วนนางทัศพร มีหน้ากากอนามัย จำนวน 50 ชิ้น และ น.ส.นิศรา มีหน้ากากอนามัย จำนวน 8 ชิ้น พิพากษาจำคุกคนละ 1 ปี ปรับคนละ 5 หมื่นบาท ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยคนละ 6 เดือน ปรับคนละ 25,000 บาท พิเคราะห์พฤติการณ์จำเลยทั้งสองมีของกลางปริมาณน้อยและไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนดคนละ 2 ปีหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวจำเลย 5 คน ที่ศาลไม่รอการลงโทษไปคุมขังไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และทัณฑสถานหญิงกลางต่อไป

          วันเดียวกันผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคประชาธิปัตย์ว่า นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช ได้ทำหนังสือถึงนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคและคณะกรรมการบริหารพรรค โดยยื่นผ่านเจ้าหน้าที่พรรค มีเนื้อหาว่า เรียน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และคณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ สืบเนื่องจากกระแสข่าวที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม กล่าวหาว่า มีขบวนการทุจริตหน้ากากอนามัยเกี่ยวข้องกับนักการเมืองหญิง เป็นที่ปรึกษาของ รมว.พาณิชย์ 

          ซึ่งในความหมายนั้นทำให้คนส่วนใหญ่ในสังคมเข้าใจว่าน่าจะหมายถึงนางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษานายจุรินทร์ รมว.พาณิชย์ เป็นการสร้างความเสียหายแก่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งกำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ทางสื่อโซเชียลมีเดียและสื่อสารมวลชนแขนงต่างๆ อย่างกว้างขวาง ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา เมื่อเกิดเหตุในลักษณะเช่นนี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้มีมาตรฐานในการปฏิบัติกับสมาชิกพรรคผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทุกคน เมื่อถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทุจริตก็จะต้องพิจารณาตัวเอง ลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบในทันที ดังที่เคยมีผู้ใหญ่ในพรรคทำเป็นตัวอย่างหลายคนในอดีต

          สำหรับกรณีของนางมัลลิกา เมื่อถูกข้อกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการทุจริตหน้ากากอนามัย ของกระทรวงพาณิชย์ ขัดต่อข้อบังคับพรรคข้อ 115 พรรคต้องดำเนินการในมาตรฐานเดียวกับสมาชิกพรรคทุกคน เพื่อดำรงไว้ซึ่งจุดยืนของพรรคในการปฏิบัติต่อสมาชิกของพรรคอย่างเท่าเทียมกัน ในการนี้จึงขอให้คณะกรรมการบริหารพรรค ซึ่งได้มีมติแต่งตั้งนางมัลลิกา เข้ารับตำแหน่งทางการเมือง ตามข้อบังคับพรรคข้อ 98 และข้อ 99 ได้พิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงตามข้อบังคับพรรค ข้อ 121 และมีมติให้นางมัลลิกา ลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ ไว้ก่อน ถ้าการสอบสวนได้ข้อยุติว่าไม่มีความผิดก็สามารถแต่งตั้งเข้าไปรับตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีได้อีกครั้ง ซึ่งนับว่าเป็นความสง่างามของพรรคประชาธิปัตย์และเพื่อดำรงไว้ซึ่งเกียรติยศ ชื่อเสียง อุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป

          จากกรณีดังกล่าวยังมีรายงานระบุว่าในกลุ่มไลน์พรรคประชาธิปัตย์ได้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะสมาชิกจำนวนมากเห็นว่ายังไม่เกิดคดีขึ้น แต่นายเทพไทกลับใช้โอกาสนี้ขับไล่เพื่อนซึ่งไม่เป็นธรรม ระหว่างนั้นนายเทพไทตอบโต้อ้างถึง หลักการและอุดมการณ์ของพรรค ทำให้สมาชิกตอบโต้ทันทีว่าเช่นนั้นแล้วก็ให้นายเทพไทลาออกด้วยเนื่องจากคดีทุจริตการเลือกตั้งนายก อบจ.นครศรีธรรมราช ซึ่งนายเทพไทและน้องชายเป็นจำเลยคดีทุจริตการเลือกตั้งมีการสืบพยานในชั้นศาล เป็นผู้ต้องหาอย่างชัดเจนกว่าเรื่องนี้มาก กระทั่งสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์รายหนึ่ง ได้นำข่าวของนายมาโนช เสนพงศ์ และนายเทพไท ซึ่งตกเป็นจำเลยที่ 1 และ 2 เมื่อปี 2562 และในปีนี้ทั้งสองคนก็มีนัดสืบพยานต่ออีกหลายนัด สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ในกลุ่มไลน์จึงเรียกร้องให้นายเทพไทลาออกจากตำแหน่งเพื่อรับผิดชอบคดีทุจริตนี้เช่นกัน

          จากนั้นสมาชิกอีกหลายคนได้แสดงความเห็นว่ากรณีการกล่าวหาเกี่ยวกับหน้ากากอนามัยยังไม่มีผู้ใดกล่าวโทษใครว่าเป็นคดีทุจริตในขั้นตอนใดเลย และนางมัลลิกายังไม่ได้เป็นแม้แต่ผู้ถูกกล่าวหา แต่เทียบคดีนายเทพไทนั้นเป็นผู้ต้องหาอย่างชัดแจ้ง สมาชิกจึงกล่าวว่ายังไม่เห็นสปิริตที่ว่าของนายเทพไทเลย

          ขณะเดียวกันนายอมร อมรรัตนานนท์ อดีตผู้สมัครส.ส.สระบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ยังได้โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ อย่าฉกฉวยสถานการณ์ ‘อมร’ ติง ‘เทพไท’ เร็วเกินไปไหมที่จะขับไสไล่ส่งเพื่อน โดยนายอมร กล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สมาชิกพรรคทุกคนต้องหนักแน่นและไม่อ่อนไหวต่อปัญหาที่เกิดขึ้น สมาชิกทุกคนต้องรวมหนึ่งใจเดียวเพื่อส่งเสริมและขยายกิจการงานของพรรค อีกทั้งต้องสนับสนุนให้ผู้บริหารของพรรค รัฐมนตรีของพรรค ได้ทำงานในหน้าที่เพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ มิใช่ฉกฉวยเอาสถานการณ์มาเคลื่อนไหวหาผลประโยชน์ให้บุคคลหรือคณะบุคคลโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดต่อพรรค และการบริหารงานของรัฐในยามสถานการณ์ที่วิกฤติเช่นนี้

 

 

 

          นอกจากนี้ยังมีสมาชิกพรรคโพสต์ข้อมูลลงไลน์กลุ่มว่า ข้อ 1 ในที่สุดก็สิ้นสงสัยว่าทำไมอัจฉริยะจึงมีพิรุธ ณ เวลานี้ก็เข้าใจได้ ข้อ 2 ให้คุณเทพไทย้อนกลับไปถามคุณอัจฉริยะว่าได้กล่าวโทษใครหรือยัง ข้อ 3 ย้อนกลับไปที่สำนักงานตำรวจที่คุณอัจฉริยะไปยื่นเรื่องว่าได้มีการกล่าวหาใครขึ้นแล้วหรือไม่ เกิดการทุจริตขึ้นแล้วหรือไม่ ข้อ 4 การทุจริตยังไม่ได้เกิดขึ้นและผู้ใดเกี่ยวข้องก็ยังไม่ได้มีการกล่าวหาอะไรทำให้คุณเทพไทจึงต้องกระทำการเร็วและเกินกว่าเหตุ ข้อ 5 กรณีที่คุณมัลลิกาออกไปชี้แจงนั้นเพราะความผิดต่อส่วนตัวที่มีการระบุตำแหน่งและคาแรกเตอร์ที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อความผิดส่วนตัวด้านหมิ่นประมาท คนละเรื่องการตรวจสอบเรื่องหน้ากาก ข้อ 6 เป็นการกล่าวหาที่ไม่อยู่บนข้อเท็จจริง และไม่เพียงก่อให้เกิดความเสียหายต่อส่วนตัวแต่มีผลกระทบต่อสังคม สร้างความทุกข์ให้ประชาชนท่ามกลางความวิตกและหวาดหวั่นในภาวะวิกฤติ คุณเทพไทกำลังเล่นการเมืองซ้ำเติมสถานการณ์

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากนั้นในทุกไลน์กลุ่มของพรรคประชาธิปัตย์ก็มีความเคลื่อนไหวแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง ส่วนใหญ่เห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการวิจารณ์บนออนไลน์เท่านั้นยังไม่มีข้อเท็จจริงปรากฏ และยังไม่มีการกล่าวหาระบุชื่อผู้ใด ดังนั้นเรื่องนี้จึงควรปล่อยให้เป็นกลไกของการสอบข้อเท็จจริงให้ครบเสียก่อน

          ขณะที่นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ประธานคณะอนุกรรมาธิการชุดที่ 2 ในคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร แถลงผลการประชุมคณะอนุกรรมาธิการว่า การประชุมคณะอนุกรรมาธิการของคณะกรรมการป.ป.ช. มีวาระการพิจารณาที่สำคัญ คือการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลที่ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของรัฐในการกักตุนและลักลอบนำหน้ากากอนามัยไปขายต่างประเทศ อันเป็นการฝ่าฝืนประกาศกรมการค้าภายใน โดยได้เชิญนายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มาให้ข้อมูลแล้ว เบื้องต้นพบว่านายสมชัย ตั้งประเด็นว่าการที่นายจุรินทร์ ระบุว่ามีสต็อกจำนวน 200 ล้านชิ้นเมื่อปลายเดือนมกราคม หรือผลิตหน้ากากได้เดือนละ 100 ล้านชิ้น แต่อธิบดีกรมการค้าภายในกลับบอกว่าสต็อกดังกล่าวไม่จริง เพราะมีกำลังผลิตเพียง 1.2 ล้านชิ้ต่อวัน หรือ 36 ล้านชิ้นต่อเดือน 

          นายธีรัจชัย กล่าวอีกว่า คณะอนุกรรมาธิการมีความสงสัยว่าทำไมมีความแตกต่างกัน ขณะที่อธิบดีกรมศุลกากรระบุเมื่อวันที่ 11 มีนาคม ว่ามีการส่งออกหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ 5,993 กิโลกรัม แต่วันที่ 19 มีนาคม มีการแก้ไขตัวเลขเป็น 3326 กิโลกรัม ขณะที่หน้ากากอนามัยทั่วไปมีการส่งออกเมื่อวันที่ 11 มีนาคม จำนวน 186,098 กิโลกรัม แต่วันที่ 19 มีนาคม มีการแก้ไขตัวเลขเป็นจำนวน 56,510 กิโลกรัม คิดเป็นจำนวนที่หายประมาณ 130 ตัน จึงสงสัยว่าทำไมตัวเลขถึงมีความแตกต่างกัน ขณะเดียวกันกระบวนการตรวจสอบเรื่องนี้จะพิจารณาลงลึกไปว่าการนำเข้าส่งออกที่กรมศุลกากรมีความคลาดเคลื่อนจากอธิบดีกรมการค้าภายใน และแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทั้งในเรื่องการนำเข้าส่งออกและกำลังการผลิต โดยคณะอนุกรรมาธิการสงสัยว่าจะมีนอมินีในการส่งออกหรือไม่ และอาจไม่ได้เป็นการส่งออกอย่างเดียวแต่อาจมีการนำมาขายในตลาดมืดจนทำให้ราคาสูงเกินความจริง ดังนั้นคณะกรรมาธิการจึงได้เชิญรักษาการแทนอธิบดีกรมการค้าภายใน อธิบดีกรมศุลกากร เลขาธิการ ปปง. มาชี้แจงในสัปดาห์หน้า

          เมื่อถามว่าคนที่ตกเป็นข่าวว่าเกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์จะถูกเชิญมาให้ข้อมูลหรือไม่ นายธีรัจชัย กล่าวว่า คนที่ตกเป็นข่าวจะเชิญมาอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ขอรวบรวมข้อเท็จจริงเพื่อให้ได้ข้อมูลมากที่สุดก่อน ซึ่งประเด็นนี้มีความแปลกตรงที่ทำไมบุคคลสำคัญถึงได้แถลงโดยมีข้อมูลคลาดเคลื่อนขนาดนั้น ไม่ปกติแน่นอน แสดงว่าบุคคลผู้มีอำนาจน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง ถือเป็นข้อพิรุธที่ต้องหาความจริงให้เจอ เราต้องการกระชากหน้ากากเรื่องนี้ออกมา และเชื่อว่าเมื่อดำเนินการไปแล้วน่าจะมีความจริงปรากฏอีกมาก

          วันเดียวกัน นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม นำเอกสารหนังสืออนุญาตการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งหน้ากากอนามัย มาที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีอาญา ต่ออดีตอธิบดีกรมการค้าภายในกับพวกฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

          นายอัจฉริยะ ระบุว่า ที่ดำเนินการร้องทุกข์ในวันนี้เนื่องจากพบความผิดปกติในการพิจารณาอนุญาตส่งออกหน้ากากอนามัยตามหลักฐานเอกสารหนังสืออนุญาตการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งหน้ากากอนามัย โดยเฉพาะช่วงเวลาการส่งออกที่ปรากฏในหนังสืออนุญาตดังกล่าวที่มีการลงนามตั้งแต่ 28 กุมภาพันธ์ แต่กลับมีการส่งสินค้าในช่วงวันที่ 17 มีนาคม ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่หนังสืออนุญาตจะหมดอายุ จึงตั้งข้อสังเกตว่าเป็นวิธีเร่งระบายสินค้าหรือเลี่ยงการตรวจสอบหรือไม่

          นายอัจฉริยะกล่าวอีกว่า ทำหนังสือสอบถามข้อเท็จจริงไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการตอบกลับ วันนี้จึงจะเดินทางไปสอบถามขอข้อมูลการส่งออกหน้ากากกับอธิบดีกรมศุลกากรเพื่อนำมาเปรียบเทียบกับข้อมูลที่มีว่าตรงกันหรือไม่ กระทั่งได้นำหลักฐานมาแจ้งความดังกล่าว

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ