ข่าว

ก.ตร.ยันชัด โยก "ไพรัตน์" ไม่ขัดระเบียบ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

'บิ๊กตู่' ลั่นขจัดคนชั่วพ้นวงการตำรวจ ก.ตร.กาง ก.ม.สั่งย้าย 'ไพรัตน์' ไม่ผิด ไฟเขียวสอบวินัยร้ายแรง 'ผกก.หนุ่ย' 

 

               “บิ๊กตู่” นั่งหัวโต๊ะประชุม ก.ตร. ถกวาระร้อนสีกากี ลั่นคนไม่ดีต้องขจัดออกจากวงการตำรวจ กางข้อกฎหมาย จตช. ทำได้ออกคำสั่งย้าย “ไพรัตน์” เข้ากรุเซ่นทรงผมผิดระเบียบ ไฟเขียวสอบวินัยร้ายแรง “ผกก.หนุ่ย” ไม่ต้องตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง


อ่านข่าว ศาลสั่ง สตช.แจงข้อมูล ปมฉาวลูกน้องฟ้อง บิ๊กแป๊ะ

 

               ความคืบหน้าเรื่องความขัดแย้งภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระหว่างนายตำรวจระดับสูง รวมถึงการฟ้องร้องของผู้ใต้บังคับบัญชาเรื่องโยกย้ายไม่เป็นธรรม ยังคงอยู่ในความสนใจของประชาชน โดยก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีได้เซ็นคำสั่งย้าย พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. ไปประจำที่สำนักนายกรัฐมนตรี ขณะที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้เซ็นคำสั่งย้าย พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย รอง ผบ.ตร. ไปประจำที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.)

 

               ส่วน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษาพิเศษสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ถูกนายกรัฐมนตรีออกหนังสือเตือนห้ามประพฤติตนในลักษณะเสื่อมเสีย ขณะเดียวกันต้องจับตาวาระร้อนการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธาน ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

 

               ล่าสุดเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 29 มกราคม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางมาเป็นประธานการประชุม ก.ตร. ครั้งที่ 1/2563 ที่ห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 ซึ่งมี พล.ต.อ.จักรทิพย์ และนายตำรวจระดับ รองผบ.ตร. และผู้บังคับบัญชาระดับสูงร่วมประชุม โดยมีวาระการประชุมที่สำคัญ

 

               อาทิ การเยียวยาคืนสิทธิการเลื่อนเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษเฉพาะห้วงที่มิได้ปฏิบัติราชการ พร้อมทั้งขออนุมัติเลื่อนเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายให้แก่ พ.ต.ท.สมยศ ตรีประสิทธิ์ชัย, หารือกรณีให้สิทธิข้าราชการตำรวจที่ได้รับเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษ ตำแหน่งผู้ที่ทำหน้าที่ตรวจสำนวนอัยการและให้ความเห็นทางกฎหมาย เพื่อได้รับเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษ ตำแหน่งผู้ที่ทำหน้าที่นิติกร

 

               อนุกรรมการตำรวจร้องทุกข์ (อ.ก.ตร.ร้องทุกข์) หารือปัญหาข้อกฎหมายกรณี พ.ต.อ.วทัญญู วิทยผโลทัย หรือ ผกก.หนุ่ย อดีตผกก.ฝ่ายวิจัยและพัฒนา ศูนย์พัฒนาด้านการข่าว กองบัญชาการตำรวจสันติบาล (ผกก.ฝ่ายวิจัยและพัฒนา ศพข.บช.ส.) และเป็นอดีตนายตำรวจติดตาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ร้องทุกข์, อ.ก.ตร.ร้องทุกข์ หารือปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับอำนาจของจเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) ในการออกคำสั่ง ศปก.ตร.

 

               และอำนาจการส่งตัวข้าราชการตำรวจที่กระทำผิดวินัยเรื่องทรงผมไปเข้ารับการฝึกธำรงวินัย กรณี พ.ต.อ.ไพรัตน์ ไพพรรณรัตน์ รองผบก.อก.บช.ภ.9 ร้องทุกข์, หารือปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับวิธีการสอบสวนตามกฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสอบสวนพิจารณา พ.ศ.2557 และเรื่องอื่นๆ

 

               อย่างไรก็ตามก่อนการประชุม นายกรัฐมนตรีได้สอบถามผลการปฏิบัติในคดีสำคัญทั้งหมด และรับฟังรายงานคดีสำคัญต่างๆ จากนั้นเวลา 11.40 น. พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า การประชุมของ ก.ตร. เป็นเรื่องของการบริหารกิจการภายในของตำรวจ ทั้งเรื่องการลงโทษ การเยียวยาให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ และผู้ที่กระทำความผิด

 

               ซึ่งมีการลงโทษ ไล่ออก ปลดออกกันเยอะแยะไปหมด ไม่ใช่ว่าเราไม่ทำงาน คนไม่ดีก็ต้องขจัดออกไป ซึ่งต้องทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน โดยได้เน้นย้ำไปเรื่องของการปฏิรูปตำรวจไปด้วย จะได้ชี้แจงทำความเข้าใจกันว่าเราทำอะไรไปบ้าง และเกิดประโยชน์อย่างไรบ้าง หลายอย่างต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหา และก็ต้องรับฟังความคิดเห็นทั้งสองทาง ทั้งจากคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ และเอากฎหมายมาดูด้วย มีทั้งองค์กร บุคลากร และเครื่องไม้เครื่องมือ

 

               “สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องดูว่าที่ทำมาได้อะไรมาแล้วบ้างที่ประชาชนจะได้ประโยชน์ และเจ้าหน้าที่จะทำงานฝ่ายเดียวไม่ได้ เราต้องร่วมมือซึ่งกันและกัน อยากฝากว่าวันนี้ประเทศชาติต้องการความรัก ความสามัคคี” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

 

               ด้าน พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะโฆษก ตร. กล่าวว่า กรณีหารือปัญหาข้อกฎหมายกรณีของ พ.ต.อ.วทัญญู ซึ่งได้ร้องทุกข์เมื่อปี 2561 ว่า การแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงของกองบัญชาการสันติบาล (บช.ส.) มีการตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรง โดยไม่ได้ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงก่อนนั้น น่าจะเป็นคำสั่งที่มิชอบ อนุกรรมการร้องทุกข์ได้พิจารณานำเสนอ ก.ตร. แล้วส่งเรื่องให้อนุกรรมการกฎหมายพิจารณา

 

               โดยวันนี้ได้ข้อสรุปจากอนุกรรมการกฎหมาย ประเด็นแรกเรื่องการตั้งกรรมการสืบสวนร้ายแรงโดยไม่ตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงก่อน ทำได้หรือไม่ ซึ่งทางอนุกรรมการกฎหมายได้วางหลักเกณฑ์ไว้ว่า สามารถกระทำได้ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ มาตรา 84 และ 86 ประกอบกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการสืบสวนข้อเท็จจริง พ.ศ.2556 ข้อ 3 กรณีมีการกล่าวหาว่า ข้าราชการตำรวจกระทำผิดวินัยร้ายแรง จะสืบสวนข้อเท็จจริงก่อนหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่ามีมูลเพียงพอที่จะตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงหรือไม่ ในกรณีนี้ แสดงว่าผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล มีความเห็นว่ามีมูล 

 

               ประเด็นต่อมาถ้าพิจารณาว่า มีมูลเพียงพอหรือไม่ ให้อยู่ในดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาจะพิจารณาข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐาน ดังนั้น หากเห็นว่ามีมูลเพียงพอในข้อเท็จจริง ก็สั่งการได้ โดยสรุป ก.ตร. ตอบกลับไปว่า การดำเนินการที่ตั้งกรรมการวินัยร้ายแรง โดยไม่สืบสวนข้อเท็จจริงก่อนนั้น สามารถทำได้ตามกฎหมาย

 

               พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวอีกว่า ในส่วนของกรณีที่ พ.ต.อ.ไพรัตน์ ร้องทุกข์เมื่อปี 2561 ว่า พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งจเรตำรวจแห่งชาติ ได้ออกคำสั่งให้ พ.ต.อ.ไพรัตน์ มาปฏิบัติราชการที่ ศปก.ตร. โดยร้องทุกข์มา 3 ประเด็น

 

               ซึ่งประเด็นแรก จเรตำรวจแห่งชาติในขณะนั้นมีคำสั่งให้ข้าราชการตำรวจมาปฏิบัติราชการที่ ศปก.ตร. ได้หรือไม่ ที่ประชุม ก.ตร.ได้ข้อสรุปว่า พล.ต.อ.สุชาติ ไปปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการ ศปก.ตร. ตามคำสั่งของ ผบ.ตร. ดังนั้น จึงมีอำนาจให้ข้าราชการตำรวจมาปฏิบัติราชการที่ ศปก.ตร. ได้

 

               ประเด็นที่ 2 เมื่อมาอยู่ ศปก.ตร. จเรตำรวจแห่งชาติสามารถส่งตัวไปฝึกธำรงวินัยได้หรือไม่ กรณีดังกล่าวจเรตำรวจแห่งชาติได้รับอนุมัติจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า กรณีถ้าเห็นว่ามีโครงการเพิ่มพูนประสิทธิภาพ ก็สามารถส่งไปได้

 

               และประเด็นที่ 3 เมื่อจเรตำรวจแห่งชาติ พบการกระทำความผิดของข้าราชการตำรวจแล้ว ดำเนินการทางวินัยได้หรือไม่นั้น กรณีนี้กฎหมายกำหนดไว้ว่า กรรมการดำเนินการทางวินัย เป็นอำนาจของผู้บังคับบัญชา เมื่อจเรตำรวจพบการกระทำผิดของข้าราชการตำรวจ ก็ส่งเรื่องไปทางต้นสังกัดดำเนินการทางวินัยอยู่แล้ว

 

               ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการประชุม ก.ตร.ในครั้งนี้สื่อมวลชนยังจับจ้องผู้เข้าประชุม โดยเฉพาะ พล.ต.อ.วิระชัย ที่ถูกย้ายไปสำนักนายกรัฐมนตรี กับ พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ ที่ถูกย้ายขาดจากตำแหน่งเดิม ไปปฏิบัติราชการที่ ศปก.ตร. ปรากฏว่า พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ ยังคงเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ในฐานะคณะกรรมการ ก.ตร. รวมถึงป้ายชื่อที่เขียนกำกับที่นั่ง ก็ยังระบุว่าเป็น รอง ผบ.ตร.(สส) ด้วย

 

               นอกจากนี้ยังมีรายงานด้วยว่า แม้ พล.ต.อ.ชัยวัฒน์จะไม่ได้รับผิดชอบงานสืบสวนสอบสวนแล้ว แต่ยังคงทำหน้าที่เป็น ผอ.ศูนย์ปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง และ ผอ.ศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพลและมือปืนรับจ้าง ส่วน พล.ต.อ.วิระชัย ไม่ได้มาร่วมประชุม โดยให้เหตุผลว่าติดภารกิจที่สำนักนายกรัฐมนตรี

 

               วันเดียวกัน ภายหลังสื่อมวลชนนำเสนอข่าวดังกล่าวออกไป ปรากฏว่า พ.ต.อ.ไพรัตน์ ได้ทำหนังสือ อ.ก.ตร. หรือเลขานุการ ก.ตร. เรื่องส่งเอกสารที่เพิ่งปรากฏขึ้นภายหลังและเพิ่มเติมประเด็นการร้องทุกข์ โดยมีเนื้อหาระบุอยู่ 2 ประเด็น ว่า 1. ด้วยกระผม พ.ต.อ.ไพรัตน์ ไพพรรณรัตน์ ได้รับทราบจากที่ พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีที่ผมร้องทุกข์เมื่อปี 61 ว่า พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. ขณะนั้นดำรงตำแหน่งจเรตำรวจแห่งชาติ...

 

               ประเด็นที่ 3 เมื่อจเรตำรวจแห่งชาติพบการกระทำผิดของข้าราชการตำรวจแล้วดำเนินการทางวินัยได้หรือไม่นั้น กรณีกฎหมายกำหนดว่าการดำเนินการทางวินัยเป็นอำนาจของผู้บังคับบัญชา เมื่อจเรตำรวจแห่งชาติพบการกระทำผิดของข้าราชการตำรวจ ก็ส่งเรื่องไปทางต้นสังกัดดำเนินการทางวินัยอยู่แล้ว ซึ่งสื่อมวลชลนำคำพูดกล่าวยืนยันดังกล่าวในการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธานการประชุม ก.ตร. ครั้งที่ 1/2563 วันที่ 29 มกราคม 2563

 

               2.จึงขอยืนยันว่าการที่จเรตำรวจแห่งชาติอ้างว่าพบกระผมกระทำผิดวินัยในเรื่องทรงผม แล้วออกคำสั่งให้มาปฏิบัติหน้าที่ที่ ศปก.ตร. แล้วส่งตัวฝึกธำรงวินัย ในการที่ผมร้องทุกข์ ความหนังสือร้องทุกข์ฉบับวันที่ 16 พฤษภาคม 2561 นั้น จเรตำรวจมิได้ส่งเรื่องให้ต้นสังกัดคือ ภ.7 ดำเนินการทางวินัยกับกระผมแต่อย่างใด และกระผมก็ไม่เคยถูกดำเนินการทางวินัยเรื่องผิดระเบียบทรงผมแต่อย่างใด จึงส่งคำกล่าวของพล.ต.ท.ปิยะ ที่นำมาเสนอต่อสื่อมวลชน

 

               และขอเพิ่มประเด็นให้ อ.ก.ตร.ร้องทุกข์ มีมติว่าที่ จเรตำรวจแห่งชาติอ้างว่ากระผมทำผิดวินัยเรื่องทรงผม แต่ไม่ส่งเรื่องให้ ภ.7 คือต้นสังกัดดำเนินการทางวินัย กลับออกคำสั่งธำรงวินัยด้วยตนเอง เป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้งความจริงผมไม่ได้ผิดวินัยเรื่องทรงผม จึงขอส่งสำเนาคำกล่าวของพล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ต่อสื่อมวลชน มาเพื่อพิจารณาให้ความเป็นธรรมต่อไป
 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ