ข่าว

ศึก บิ๊กแป๊ะ-โจ๊ก ลาม บิ๊กตู่

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ศึก บิ๊กแป๊ะ-โจ๊ก ลาม บิ๊กตู่ นายกฯออกโรง เตือน อย่าให้กระทบองค์กร สั่งสอบทุกปมฉาว

               จากกรณีคดีคนร้ายลอบยิงรถยนต์ยี่ห้อเลกซัส รุ่นอาร์เอ็กซ์ 270 สีขาว ทะเบียน 9 กจ 351 กรุงเทพมหานคร ของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษาพิเศษนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) ขณะจอดไว้ตรงข้ามร้านนวด ซอยสาริกา ถนนสุรวงศ์ แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก เมื่อคืนวันที่ 6 มกราคม กระทั่งต่อมาเจ้าตัวออกมาเปิดเผยว่ามูลเหตุน่าจะมาจากเรื่องปมทุจริตเครื่องไบโอเมทริกซ์ เพราะต้องไปให้ข้อมูลในฐานะพยานกับป.ป.ช. ก่อนจะมีการเปิดหน้าชนกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. หากจับคนร้ายไม่ได้ต้องรับผิดชอบ จนกลายเป็นเกาเหลาระหว่าง 2 บิ๊กตำรวจ

          และต่อมายังมี พ.ต.อ.ไพรัตน์ ไพพรรณรัตน์ รอง ผบก.อก. บช.ภ.9 ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157 กรณีใช้อำนาจแต่งตั้งโยกย้ายโดยอย่างไม่เป็นธรรมจนถูกมองว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นการเขย่าเก้าอี้ ผบ.ตร. ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น 

       ความคืบหน้าวันที่ 14 มกราคม เวลา 10.30 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ผบก.ทพ. พร้อมด้วย พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. ได้ชี้แจงประเด็นที่ พ.ต.อ.ไพรัตน์ ฟ้องร้อง ผบ.ตร. โดย พล.ต.ต.เดชา กล่าวว่า ในการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ มีระเบียบ หลักเกณฑ์ และกฎหมายเกี่ยวกับการแต่งตั้ง ซึ่งกฎ ก.ตร. ในการแต่งตั้ง พ.ศ.2561 มีสาระสำคัญ ซึ่งได้วางหลักการเกี่ยวกับการแต่งตั้งไว้ว่าการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งใดต้องคำนึงถึงหน้าที่ความรับผิดชอบในการดูแลทุกข์สุขของราษฎรเป็นสำคัญ โดยยึดหลักทุกพื้นที่จำเป็นต้องมีข้าราชการตำรวจไปปฏิบัติหน้าที่ ผู้มีอำนาจสามารถแต่งตั้งข้าราชการตำรวจไปดำรงตำแหน่งในลักษณะงาน หรือพื้นที่ที่แตกต่างไปจากเดิมได้ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และการทำงานที่รอบด้าน

       สำหรับข้าราชการตำรวจที่ดำรงตำแหน่งครั้งสุดท้ายครบ 2 ปี สามารถยื่นคำร้องขอไปดำรงตำแหน่งต่างๆ ได้ กรณีที่ผู้บังคับบัญชาพิจารณาแล้ว เพื่อประโยชน์และไม่ให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการก็สามารถแต่งตั้งข้าราชการตำรวจไปดำรงตำแหน่งต่างๆ ได้ตามสมควรแก่กรณีตามความเหมาะสม สำหรับอำนาจในการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจในระดับรองผบก.ลงมา พ.ร.บ.ตำรวจ พ.ศ.2547 มาตรา 54 ได้ให้อำนาจ ผบ.ตร. เป็นผู้มีอำนาจในการแต่งตั้ง ซึ่งการแต่งตั้งจะทำในรูปคณะกรรมการ ตั้งแต่ระดับกองบังคับการ เสนอผ่านกองบัญชาการ และเสนอมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

        ในส่วน พ.ต.อ.ไพรัตน์ เดิมที่ดำรงตำแหน่ง รอง ผบก.ภ.จว.เพชรบุรี เมื่อวาระ 60 ต่อมาวาระ 62 ได้แต่งตั้งไปเป็นรอง ผบก.อก.บช.ภ.9 เป็นการแต่งตั้งพิจารณาตามความเหมาะสมของผู้บังคับบัญชา ข้อเท็จจริงเบื้องต้น พ.ต.อ.ไพรัตน์ มีเรื่องถูกร้องเรียนมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมหลายประการ การแต่งตั้งครั้งนี้จึงเป็นไปตามระเบียบหลักเกณฑ์ สำหรับประเด็นการแต่งตั้งครั้งสุดท้ายไม่ครบ 2 ปี ตามกฎ ก.ตร. ไม่ได้กำหนดเรื่องนี้ไว้แล้ว เป็นแนวทางที่ ผบ.ตร. วางหลักไว้ว่า การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ หากดำรงตำแหน่งไม่ครบ 2 ปี ให้มีเหตุผลความจำเป็นในการแต่งตั้งทุกราย ซึ่งในการแต่งตั้งวาระต่างๆ ที่ผ่านมา ก็มีการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจที่ดำรงตำแหน่งครั้งสุดท้ายไม่ครบ 2 ปี ตามเหตุผลความจำเป็นที่มีการเสนอมา เมื่อการแต่งตั้งเสร็จสิ้นลง ข้าราชการตำรวจรายใดที่เห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมสามารถใช้สิทธิ์ร้องทุกข์ต่อ ก.ตร. ตามพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ มาตรา 106 ได้

       ด้าน พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวว่า ผบ.ตร. เป็นบุคคลสาธารณะ อยู่ในตำแหน่งเข้าปีที่ 5 แล้ว ก็พร้อมที่จะรับการตรวจสอบ การฟ้องร้องกันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะท่านเป็นผู้นำองค์กร แต่สิ่งที่อยากจะฝากถึง พ.ต.อ.ไพรัตน์ กรณีที่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่าถูกกลั่นแกล้งในการแต่งตั้งโยกย้าย ก็ต้องถามกลับไปว่าความประพฤติที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2544 สมัยเป็นสารวัตร จนล่าสุดปี 2560 เกี่ยวข้องกับการเรี่ยไร ขายบัตรกิจกรรมดนตรี อ้างว่าเป็นรายได้มาใช้ในกิจการสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น ทำไมไม่พูดออกมาบ้าง ในการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ รอง ผบก.-ผกก. มีตำรวจที่ได้รับการแต่งตั้งกว่า 2,500 ตำแหน่ง 

      “หลังคำสั่งมีผลเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2562 เวลาล่วงเลยมากว่า 1 เดือน ทำไมเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม มีการรอรับฟังสัญญาณอะไรหรือไม่ ถึงได้ออกมาช่วงนี้ การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจผู้มีอำนาจไม่ได้ใช้อำนาจตามอำเภอใจ ใช้อำนาจที่กฎหมายให้เอาไว้เท่านั้น การแต่งตั้งผู้ที่ทำหน้าที่ก็จะนำข้อมูลมาประกอบและพิจารณาไปตามเนื้อผ้า บางคนที่เคยทำผิดวินัย ผิดกฎหมายอาญา ก็แต่งตั้งไปในที่ไม่ได้สัมผัสกับประชาชน ซึ่งหลังคำสั่งออกกว่า 1 เดือน มีคนที่เดินทางมาพบ ผบ.ตร.เพื่อมาถามว่าทำไมจึงถูกย้าย ผบ.ตร.ก็ได้เยียวยา โดยให้ไปช่วยราชการตามที่ต่างๆ แล้วทำไม พ.ต.อ.ไพรัตน์ จึงไม่มาพบ ผบ.ตร. แต่กลับไปเดินสายเปิดเผยข้อมูล เปิดก็เปิดไม่หมด มีวินัยหรือไม่” พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าว

       พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวด้วยว่า มีบางสื่อโยงกรณีดังกล่าวไปถึงเรื่อง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ แต่ พ.ต.อ.ไพรัตน์ ไปฟ้องศาลเรื่องการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของ ผบ.ตร. เมื่อเป็นเรื่องประเด็นบุคคล การไปเอาเรื่อง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ มาเกี่ยวข้อง จึงขอตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการบิดเบือนข้อมูลหรือไม่

      ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสื่อมวลชนและสังคมกำลังจับตาปมร้อนที่กำลังเกิดขึ้นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่คดียิงรถ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เกิดขึ้น และลามไปถึงปมทุจริตเครื่องไบโอเมทริกซ์ ของ สตม. ที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ เป็นผู้อนุมัติโครงการ กระทั่งต่อมาก็มีการปล่อยคลิปเสียงระหว่าง ผบ.ตร. สนทนาทางโทรศัพท์กับ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผบ.ตร. ที่ลงไปดูคดียิงรถตั้งแต่วันเกิดเหตุ ในทำนองสั่งเบรกไม่ให้มายุ่งกับเรื่องนี้ ปล่อยให้ บช.น.ดำเนินการไปเอง ก่อนจะออกมาบอกว่าเป็นการกำชับและคำแนะนำการทำงานตามปกติ ไม่ใช่การสั่งเบรกแต่อย่างใด จากนั้นวันที่ 9 มกราคม นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ผู้ที่ยื่นร้องเรื่องทุจริตไบโอเมทริกซ์ กับป.ป.ช. ได้ถูกเรียกเข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติม พร้อมขอให้เพิ่มพยาน ต่อมาวันที่ 10 มกราคม พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ก็ถูกป.ป.ช.เรียกเข้าให้ข้อมูลเรื่องนี้ในฐานะพยานเช่นกัน จึงทำให้ดูเหมือนว่ารอยร้าวระหว่าง 2 บิ๊กตำรวจจะเพิ่มขึ้น

      ขณะเดียวกันเมื่อช่วงเช้าวันที่ 14 มกราคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีรอยร้าวระหว่าง พล.ต.อ.จักรทิพย์ กับ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ว่าเป็นเรื่องภายในของเขา ย้ำเตือนไปแล้วว่าต้องรักษาองค์กรของท่านด้วย เพราะฉะนั้นมันอยู่ที่คนนั่นแหละ ก็ต้องฟังผู้บังคับบัญชาที่เขารับผิดชอบโดยตรงชี้แจงมา แลก็ให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ที่ร้องเรียนอะไรต่างๆ โดยมีทั้งคณะกรรมการวินัย คณะกรรมการกำลังพลทั้งหมด ถ้าใครไม่ได้รับความเป็นธรรมก็อุทธรณ์ได้ แต่ไม่อยากให้ออกมาพูดในสื่อ จะเสียหาย บางทีใช่หรือไม่ใช่ ประชาชนก็ตัดสินไปด้วย มันก็เสียทั้งหมด ดังนั้นต้องดูพฤติกรรมของแต่ละคนที่ออกมาร้องเรียนด้วยว่ามีพฤติกรรมอย่างไร เท่าที่ทราบก็มีปัญหาอยู่พอสมควร จึงขออย่าเพิ่งตัดสินผิดถูกกันตอนนี้

       เมื่อถามว่านายกฯ ต้องเรียกพูดคุยหรือเคลียร์เรื่องนี้ด้วยตนเองหรือไม่ โดย พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่าจะต้องเคลียร์อะไร ตนเป็นนายกฯ ใช่หรือไม่ ดังนั้นหน้าที่คือสั่งการให้ผู้บังคับบัญชาไปตรวจสอบ ไปชี้แจงและไปหาข้อเท็จจริง ไม่ใช่หน้าที่ไปเคลียร์

       เมื่อถามย้ำว่านายกฯ เป็นประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) และเรื่องนี้เป็นเรื่องภายในตำรวจ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องภายในของตำรวจก็ต้องมีการพูดคุยกันในคณะกรรมการตำรวจ รวมทั้งมีคณะกรรมการตรวจสอบวินัยที่จะมีการชี้แจงว่าพฤติกรรมคนนี้เป็นอย่างไร มีความผิดอะไรอยู่บ้างหรือไม่ และการออกมาร้องเรียนผิดวินัยหรือไม่ แม้กระทั่งการนำเทปมาออกอากาศมันผิดหรือไม่ บันทึกเสียงกันได้หรือไม่ แล้วใครเป็นคนนำมาออก ดังนั้นเรื่องเหล่านี้ก็จะมีการตรวจสอบทั้งหมดไม่เช่นนั้นก็จะวุ่นไปหมด

        ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องดังกล่าวว่า ไม่รู้เรื่องเลยและยังไม่ได้เจอกัน เขาเป็นพี่น้องกันคุยกันเองได้ เราไม่ต้องไปยุ่งกับเขาหรอก คิดว่าไม่มีอะไร คงไม่ต้องถึงมือ ให้เขาสองคนไปว่ากันเอง

        สำหรับบริษัทคู่สัญญาโครงการไอโอเมทริกซ์ มูลค่ากว่า 2,100 ล้านบาท ที่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ระบุว่าไม่มีประสิทธิภาพ ใช้ไม่ได้จริงและไม่เป็นไปตามทีโออาร์ จนเจ้าตัวต้องทำหนังสือถึง ผบ.ตร. ขอให้ยกเลิกโครงการนี้ เนื่องจากเกิดความล่าช้าและส่งงานไม่ทัน ในสมัยที่ดำรงตำแหน่ง ผบช.สตม. ก่อนที่นายษิทราจะยื่นเรื่องให้ป.ป.ช.ตรวจสอบ ในเวลาต่อมานั้นคือบริษัทเอ็มเอสซี สิทธิผล จำกัด โดยระยะที่ 1 (เลขที่โครงการ 60076079396 สัญญาเลขที่ พธ. 37/2560) ระบุใช้วิธีพิเศษ ในการจัดซื้อจัดจ้าง กำหนดราคากลาง 2,126,073,600 บาท ทำสัญญาเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2560 สิ้นสุดสัญญาวันที่ 2 พฤษภาคม 2562 ผู้ขายคือ บริษัท เอ็มเอสซี สิทธิผล จำกัด เป็นจำนวนเงิน 2,116,000,000 บาท เท่ากับว่าวงเงินที่ตกลงตามสัญญามีจำนวนต่ำกว่าราคากลาง 10,073,600 บาท หรือคิดเป็นประมาณ 0.47% ของราคากลาง

       อย่างไรก็ตามมีแหล่งข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า บริษัทดังกล่าวมีเจ้าของ บริษัทคือ พี่สาวของนักธุรกิจชื่อดังของประเทศไทย โดยทำธุรกิจนี้ร่วมกันทำกับบริษัทแห่งหนึ่งเกี่ยวกับเทคโนโลยีการสื่อสาร และก่อนหน้านี้พบว่าเจ้าของบริษัทดังกล่าวยังเข้าเรียนหลักสูตรคอนเนกชั่น บยส.รุ่น 15 ของกระทรวงยุติธรรม โดยมีคนดัง บุคคลมีชื่อเสียง คนใกล้ชิดคนในรัฐบาล รวมถึงอดีตนายตำรวจใหญ่ระดับยศ พล.ต.อ.อีกด้วย

        รายงานข่าวยังเปิดเผยอีกว่า หลังเกิดปัญหาร้องเรียนไบโอเมทริกซ์ ปรากฏว่า มีนายตำรวจระดับสูงพยายามจะเจรจากับพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ โดยขอให้ พล.อ.ประวิตร นัดให้ แต่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ไม่ขอเจรจาด้วย ซึ่งยืนยันให้ป.ป.ช. ดำเนินการไปตามที่ร้องเรียน ทั้งนี้ในส่วนของป.ป.ช.กำลังรวบรวมรายละเอียดว่ามีการทุจริตและเชื่อมโยงกับการจัดซื้อถึงใครบ้าง นอกเหนือจากนายตำรวจใหญ่ที่ร้องเรียนไป ซึ่งประกอบด้วย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ผบ.ตร. และนายตำรวจอีก 3 นาย

        นอกจากนี้รายงานข่าวยังระบุด้วยว่าเกี่ยวกับกรณีนี้ฝ่ายค้านยังสั่งให้หาหลักฐานเรื่องนี้เพื่อจะนำไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีด้วย เนื่องจากนายกฯ กำกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หากนายกฯ ไม่รีบแก้ปัญหาแต่เนิ่นๆ เพราะเรื่องนี้ฝ่ายที่ร้องเรียนยืนยันว่ามีหลักฐานชัดเจน

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ทนายษิทรา ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ถึงกรณีมีนักข่าวต่างประเทศมาสัมภาษณ์เรื่องไบโอเมทริกซ์ โดยระบุว่า “ให้สัมภาษณ์นักข่าวเยอรมันปมไบโอเมทริกซ์ ทราบมาว่าตอนนี้ทางเยอรมันก็มีการสืบประเด็นนี้อยู่ว่าบริษัทเยอรมันจะมีการทุจริตเกี่ยวกับการขายเครื่องไบโอเมทริกซ์ด้วยหรือไม่ สำนักข่าวนี้เป็นสำนักข่าวใหญ่ของเยอรมนี จัดจำหน่ายหนังสือพิมพ์ทั่วประเทศ คอยติดตามอาทิตย์หน้าทั้งหนังสือพิมพ์และออนไลน์ครับ”

      ขณะเดียวกัน นายษิทนา ยังเล่ารายละเอียดในคอมเมนต์ว่า “นักข่าวเยอรมันถามว่ามีความมั่นใจป.ป.ช.แค่ไหน เพราะเห็นในคดีที่ผ่านๆ มา บางคดีน่าสงสัย ผมนี่อึ้งไปนิด แต่ก็ตอบเขาไปครับถ้าไม่มั่นใจคงไม่ร้องไปหน่วยงานนี้ ก็ทำให้ดีที่สุดครับ”

       วันเดียวกัน พล.ต.ต.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข รองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (รองผบช.สพฐ.) กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจพิสูจน์หัวกระสุนปืนจำนวน 8 นัด ที่คนร้ายลอบยิงรถยนต์ของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ว่าตำรวจพิสูจน์หลักฐานยังคงเร่งตรวจสอบว่าหัวกระสุนปืนที่คนร้ายใช้ยิงมาจากอาวุธปืนชนิดใด และกระบอกใด ระหว่างอาวุธปืนลูกโม่ .38 หรือกึ่งอัตโนมัติ ขนาด 9 มม. โดยยอมรับระบบฐานข้อมูลของสพฐ.อาจเล็กเกินไป จึงต้องตรวจกับระบบที่มีขนาดใหญ่ขึ้น คาดว่าต้องใช้เวลาอีกสักระยะ ส่วนพยานหลักฐานอื่นๆ ที่มีการส่งมาตรวจพิสูจน์โดยเฉพาะรถยนต์เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบและเก็บพยานหลักฐานเรียบร้อยแล้ว ขณะที่กล้องวงจรปิดในพื้นที่และตามเส้นทางที่คาดว่ามือปืนจะหลบหนี ได้ไล่ดูแต่ยังไม่มีเบาะแสมากนัก

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ