ข่าว

รัฐงัดยาแรงแก้ฝุ่นพิษ PM. 2.5 กรุง ห้ามสิบล้อวิ่งวันคี่

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

รัฐงัดยาแรง แก้ฝุ่นพิษกรุง ตีกรอบ ห้ามรถสิบล้อ วิ่งบนถนนกาญจนาภิเษกในวันคี่

 

                                รัฐงัดมาตรการ “ยาแรง” แก้ฝุ่นพิษเมืองกรุง-ปริมณฑล ห้ามรถ 10 ล้อวิ่งบนถนนกาญจนาภิเษกในวันคี่ ยกเว้นรถบรรทุกอาหารสด มีกำหนดบังคับถึงเดือนก.พ. ชงเข้าครม.สัปดาห์หน้าให้มีผลบังคับใช้ทันที เผยยอดรถบรรทุกจดทะเบียนในกทม.กว่า 1.4 แสนคัน “บิ๊กตู่” สั่งเพิ่มจุดสกัดรถควันดำ ชี้ทุกคนรู้ปัญหาต้องช่วยกัน ยอมรับสุดท้ายต้องใช้กฎหมายแรง ด้านกลุ่มนศ.จี้รัฐออกมาตรการเชิงรุกทั้งระยะสั้น-ระยะยาว

 

 

 

 

 

                                เมื่อวันที่ 14 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ในฐานะประธานคณะกรรมการควบคุมมลพิษ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการควบคุมมลพิษ ครั้งที่ 1/2563 โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ซึ่งใช้เวลากว่า 2 ชม. โดยนายจตุพร เปิดเผยหลังการประชุมว่า ในที่ประชุมมีมาตรการป้องกันและควบคุมสถานการณ์ฝุ่นละออง พีเอ็ม 2.5 ในพื้นที่กทม.และปริมณฑลโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเป็นผู้ออกกฎข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรทั่วราชอาณาจักรว่าด้วยการกำหนด ห้ามรถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป ห้ามเดินรถในเส้นทางถนนวงแหวนกาญจนาภิเษกในวันคี่โดยเด็ดขาด แต่อนุญาตให้เดินรถเข้ามาในวันคู่ช่วงเวลา 10.00-15.00 น. ตามมาตรา 144 แห่งพ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจจับได้ อย่างไรก็ตามรถบรรทุก 10 ล้อจะยกเว้นรถบรรทุกอาหารสดเท่านั้น

 

 

 

                                ทั้งนี้ต้องขอโทษผู้ประกอบการขนส่งที่ได้รับผลกระทบ แต่เนื่องจากร้อยละ 72 ปัญหาฝุ่นละอองมาจากยานพาหนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถขนาดใหญ่ โดยมีรถบรรทุกสินค้าจดทะเบียนในกทม. 140,000 คัน พบเป็นรถบรรทุกใช้เครื่องยนต์ดีเซลมากถึง 99,000 คัน เราจึงจำเป็นต้องออกกฎเพื่อควบคุมปริมาณฝุ่นละอองไม่ให้สูงเกินค่ามาตรฐาน ถือเป็นมาตรการเร่งด่วนเพียง 2 เดือนเท่านั้น ซึ่งข้อบังคับดังกล่าวจะบังคับใช้ถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้” นายจตุพรกล่าว และว่า กรมการขนส่งทางบกจะเป็นหน่วยงานที่ตรวจเข้มรถโดยสารไม่ประจำทางหรือรถบัสที่ขนส่งพนักงานตามบริษัทที่มีกว่า 6 หมื่นกว่าคันและเจ้าหน้าที่สามารถบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้หยุดใช้รถได้เลย และในส่วนของกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้ขอความร่วมมือกับโรงงานในช่วงเวลาวิกฤติเพื่อลดกำลังการผลิต 50% ซึ่งผู้ประกอบการได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

 

 

 

                                สำหรับเรื่องห้ามเผาในที่โล่งในพื้นที่กทม.และปริมณฑล โดย กทม.จะเข้มงวดไม่ไห้มีการเผาโดยเด็ดขาดมีทั้งโทษจำคุกและโทษปรับ ส่วนในพื้นที่ต่างจังหวัดก็จะมีการกำชับห้ามเผาในที่โล่งเช่นเดียวกัน เพราะบางพื้นที่ลมอาจพัดฝุ่นละอองเข้ามาในพื้นที่กทม.ได้ นอกจากนี้ทางกทม. ทั้ง 50 เขต จะตรวจเข้มบริเวณก่อสร้างหากฝ่าฝืนสามารถระงับการก่อสร้างได้ทันที ทั้งนี้มติในที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมมลพิษดังกล่าวจะนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัปดาห์หน้าเพื่อเห็นชอบและบังคับใช้ในทันที ซึ่งเชื่อว่าแนวทางดังกล่าวจะช่วยลดฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ไม่ให้เกินค่ามาตรฐานได้

 

                                ก่อนหน้านี้ที่่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุม ครม. โดยก่อนการประชุม นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทส. และคณะ ได้เข้าพบนายกฯ เพื่อนำเสนอผลงานการพัฒนาระบบบริหารจัดการปัญหาฝุ่นควันและแอพพลิเคชั่น AirCMI ที่มีการนำร่องในพื้นที่ภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ โดยเป็นการบูรณาการข้อมูลร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 

 

 

 

                                พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า มีหลายกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ ต้องดูใครเสี่ยงมากเสี่ยงน้อย โดยเฉพาะเด็กๆ ที่มีภูมิต้านทานน้อยกว่าผู้ใหญ่ ส่วนตนมีภูมิต้านทานพอสมควรเพราะอยู่ในสภาพแวดล้อมนี้มานานแล้ว เราต้องช่วยกันแก้ไขแบบครบวงจร โดยมีหลายคนที่เกี่ยวข้องคงไม่ใช่รัฐบาลเพียงอย่างเดียว ซึ่งรัฐบาลมีมาตรการออกไปเยอะแยะต้องช่วยกัน ส่วนการประโคมข่าวแค่ค่าฝุ่นแต่ไม่ประโคมจะแก้อย่างไร หากค่าฝุ่นสูงแต่ทุกคนไม่ทำอะไรเลยจะได้หรือไม่ ต้องเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ท่านเอาตรงนี้มาทั้งหมดแล้วบอกว่าแก้ปัญหาไม่ได้ เสี่ยงอันตรายอย่าไปเที่ยวงาน แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ขอให้ทุกคนช่วยกัน โดยเฉพาะลดปริมาณการใช้รถ เพราะไปห้ามคนใช้รถได้หรือไม่ ห้ามทำอุตสาหกรรม ห้ามเกษตรกรเผาได้หรือไม่ อย่ามาโจมตีกันในเรื่องที่ไม่สร้างสรรค์ ว่าทำอะไรไม่ได้สักอย่างแก้ไม่ได้ ให้เข้าใจรัฐบาลก็มีหน้าที่ ประชาชนก็มีหน้าที่ ทุกภาคส่วนก็มีหน้าที่ ถ้าไม่ช่วยกันบูรณาการเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ ขอให้เป็นการติเพื่อก่อ แต่หลายคนไม่สนใจกลับมาทิ่มแทงรัฐบาล เจ้าหน้าที่รัฐ

 

 

 

                                จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้เยี่ยมชมรถตรวจคุณภาพอากาศในบรรยากาศแบบเคลื่อนที่ พร้อมกล่าวว่าสัดส่วนฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ในกทม. พบการขนส่งทางถนน 72.5 เปอร์เซ็นต์เป็นรถทั้งนั้น โดยเป็นรถบรรทุก 28 เปอร์เซ็นต์ รถปิกอัพ 21 เปอร์เซ็นต์ รถบัส 7 เปอร์เซ็นต์ รถยนต์ 10 เปอร์เซ็นต์ รถมอเตอร์ไซค์ 5 เปอร์เซ็นต์ รถตู้ 1.5 เปอร์เซ็นต์ และอื่นๆ 2.5 เปอร์เซ็นต์​​ อาทิ การเผาในที่โล่ง 5 เปอร์เซ็นต์ ในครัวเรือน 2 เปอร์เซ็นต์ อุตสาหกรรม 17 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเรื่องอื่นทั่วไปที่ไม่ใช่บนท้องถนนประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นกลุ่มใหญ่บนท้องถนนต้องแก้กันตรงนี้จะช่วยกันอย่างไร เจ้าของรถในส่วนของรัฐและของประชาชนช่วยกันทั้งหมด ที่พบว่าปัญหาเกิดจากรถปล่อยควันดำมากที่สุด เราถึงต้องมีการปรับในเรื่องของขนส่งมวลชน อย่างโครงการรถไฟฟ้าขึ้นมา สถานการณ์ค่าฝุ่นปีนี้ถือว่าดีกว่าปีที่ผ่านมา รัฐบาลให้ความสนใจมีการส่งเสริมใช้น้ำมันดีเซล บี 10 และยังช่วยแก้ราคาปาล์มตกต่ำได้ด้วย นี่คือสิ่งที่รัฐบาลนี้ทำ 

 

 

 

 

                                “แล้วบอกว่ารัฐบาลไม่มีผลงาน ผมไม่เข้าใจ มันไม่ได้มีแค่วันนี้แต่มีนานแล้วแก้ไปเรื่อยๆ บ้านเมืองเจริญขึ้น คนมากขึ้น รถมากขึ้น ก็ธรรมดาที่มีปัญหา เราก็ต้องช่วยกันแก้ ถ้าช่วยกันติอย่างเดียว แล้วไม่ร่วมมือ มันจะทำอะไรได้” นายกฯ กล่าว

 

                                ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวภายหลังการประชุมครม. ว่าได้ย้ำในส่วนของขนส่งมวลชนไปแล้วรวมถึงการตั้งด่านจุดสกัดให้มากขึ้น รถคันไหนมีปัญหาก็ไม่ให้วิ่งจนกว่าจะแก้ไขได้ หามาตรการเข้ามาแก้ไขและช่วยเหลือ บางครั้งหลายคนมีความเดือดร้อนต้องใช้รถแบบนี้ก็ต้องมีการเข้าไปแก้ปัญหาให้ และการเดินหน้าไปสู่การใช้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นไปตามขั้นตอน เพราะไม่สามารถสั่งการได้ทีเดียว เราต้องช่วยกันอธิบาย ไม่อย่างนั้นก็ตีกันไปตีกันมา ทำอะไรไม่ได้ ท้ายที่สุดมาตรการที่รัฐบาลทำได้เต็มที่คือมาตรการทางกฎหมาย ห้ามรถวิ่ง ห้ามรถบรรทุกเข้าเมือง แล้วจะเดือดร้อนใครไหมล่ะ อะไรที่ช่วยกันได้ก็ช่วยกันก่อน

 

                                ด้านนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทส. กล่าวว่า ปลัดกระทรวง ทส.ในฐานะประธานคณะกรรมการควบคุมมลพิษจะประชุมเพื่อหามาตรการและหายาที่แรงขึ้นเพื่อนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และขอความเห็นชอบจากครม.ต่อไป ทั้งนี้ขอเรียนให้ประชาชนได้ทราบว่าปัญหาพีเอ็ม 2.5 จำนวน 72 เปอร์เซ็นต์ในพื้นที่กทม.มาจากยานพาหนะ ซึ่งเป็นรถบรรทุกกว่า 20 เปอร์เซ็นต์  อีก 20 เปอร์เซ็นต์มาจากรถกระบะ ภาคอุตสาหกรรม 18 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือมาจากรถยนต์ประเภทอื่นๆ จึงต้องถามไปยังสังคมว่าหากรัฐบาลออกมาตรการเข้มงวดจะรับได้หรือไม่ 

 

                                “ต้นเหตุของการเกิดปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 มาจากรถยนต์เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นรถบรรทุกและรถกระบะ เช่น ยาแรงของประเทศเกาหลีใต้ ประกาศห้ามรถยนต์วิ่งในเขตเมือง เป็นต้น อย่างไรก็ตามมาตรการเข้มงวดจะดำเนินการเป็นช่วงเวลาที่คับขันเท่านั้น” รมว.ทส.กล่าว

 

 

 

 

 

                                ขณะที่กรมควบคุมลพิษ (คพ.) รายงานข้อมูลคุณภาพอากาศประจำวันที่ 14 มกราคม เวลา 12.00 น. ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยร่วมกับกรุงเทพมหานคร จำนวน 52 สถานี ตรวจวัดค่าได้ 28–60 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) ซึ่งค่ามาตรฐานไม่เกิน 50 มคก./ลบ.ม. ทั้งนี้ปริมาณฝุ่นละอองในภาพรวมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากช่วงเช้าของวันเดียวกัน โดยพบมีผลกระทบต่อสุขภาพ 9 พื้นที่

 

                                ส่วนสำนักสิ่งแวดล้อม กทม. รายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองพีเอ็ม 2.5 เวลา 10.00-12.00 น. ตรวจวัดได้ 31-60 มคก./ลบ.ม. ค่าเฉลี่ย 45 มคก./ลบ.ม. ค่า พีเอ็ม 2.5 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ จำนวน 9 เขต ได้แก่ เขตวังทองหลาง, เขตบางคอแหลม, เขตบางกะปิ, เขตคลองสาน, เขตบางเขน, เขตพระนคร, เขตคลองเตย, เขตหลักสี่ และเขตบึงกุ่ม 

 

                                วันเดียวกัน กลุ่มนิสิตคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้ายื่นข้อเรียกร้องถึงรัฐบาลผ่านศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์พร้อมจัดกิจกรรมไล่ฝุ่น #NotMyPM (2.5) ชูป้ายแสดงออกเชิงสัญลักษณ์บริเวณเชิงสะพานชมัยมรุเชฐ ข้างทำเนียบรัฐบาล เพื่อขอให้รัฐบาลมีมาตรการป้องกันเชิงรุกในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งรัฐบาลเคยประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562 ผ่านมาเกือบหนึ่งปีแต่ปัญหากลับซ้ำรอยเดิมจึงขอเรียกร้องให้แก้ไขทั้งในระยะเร่งด่วน ระยะสั้นและระยะยาว

 

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ