วันนี้เรามีเคล็ดลับในการรับมือ ผิวแห้ง-ผิวแตกช่วงหน้าหนาว ให้เป็นผิวที่ยังคงความชุ่มชื่น ดูสุขภาพดีมาฝากกัน
เข้าสู่ช่วงอากาศหนาวเมื่อไหร่ปัญหาผิวหนังที่มักพบได้บ่อย ก็คือปัญหาผิวแห้ง แตก คัน และไม่เปล่งปลั่งสดใส ซึ่งปัญหาเหล่านี้มักเกิดจากความชื้นที่อยู่ในอากาศมีน้อยลง ทำให้ผิวหนังเสียน้ำและความชื้นในผิวได้ง่าย บางรายอาจถึงขั้นผิวแห้งจนอักเสบ หรือแสบคันจนมีเลือดออกกันเลยทีเดียว วันนี้เราเลยมีเคล็ดลับดีๆในการดูแลผิวมาบอกสาวๆกัน
ดูแลไม่ให้ผิวแห้งได้อย่างไร
1. ปัญหาผิวหนังในหน้าหนาวที่พบบ่อยที่สุด และมักเกิดกับคนไทยที่รักความสะอาดเป็นทุนอยู่แล้วคือ ปัญหาผิวแห้งทำให้เกิดอาการคัน บางท่านเข้าใจผิดว่าคันจากความสกปรกจึงยิ่งใช้สบู่ฟอกถูผิวที่แห้งคัน ทำให้อาการเป็นมากขึ้น บางท่านใช้สบู่ยาฟอกผิวหนัง เพราะเข้าใจผิดว่าผิวแห้งคันเกิดจากการติดเชื้อโรค การใช้สบู่ยายิ่งทำให้ผิวแห้งจัดจนแตกลายและเป็นแผลได้ การอาบน้ำร้อนจัดหรือนอนแช่อ่างอาบน้ำอุ่นก็ทำให้ผิวยิ่งแห้งในหน้าหนาวอาจใช้เพียงสบู่อ่อนฟอกบริเวณที่อับชื้น เช่น รักแร้ ซอกขา ก็เพียงพอ ถ้ามีผิวแห้งมากควรใช้ครีมบำรุงผิวที่ไม่เหนียวเหนอะหนะ
2. ผู้ที่มีผิวแห้งต้องงดยาทาแก้คันที่มีลักษณะเป็นแป้งน้ำ เพราะจะทำให้ผิวหนังแห้งมากขึ้น และต้องไม่ใช้ยาฆ่าเชื้อราทา เพราะไม่สามารถแก้ปัญหาผิวแห้งและยังทำให้ผิวแห้งกำเริบขึ้น การใช้ครีมบางตัวเช่น กรดผลไม้ กรดวิตามินเอ ครีมรักษาสิว เช่น เบนซอยล์เพอร์ออกไซด์ โลชั่นทาสิว (เช่น กำมะถัน) ต้องระวัง เพราะทำให้ผิวแห้งระคายเคืองได้ง่าย ถ้าจำเป็นต้องทายาให้น้อยลงหรืองดเป็นช่วงๆ
3. ในฤดูหนาวถ้าหน้าแห้งมากหรือผิวกายแห้ง ควรลดหรืองดการฟอกสบู่ และใช้ครีมให้ความชุ่มชื้นทาใบหน้า ทาตามตัว ควรงดการใช้สบู่ที่มีเม็ดขัดถูใบหน้าด้วย ควรสวมใส่เสื้อผ้าให้มิดชิดในหน้าหนาว เช่น สวมกางเกงขายาว ใส่เสื้อแขนยาว สวมถุงมือ ถุงเท้า หมวก เหล่านี้ช่วยลดปัญหาผิวแห้ง ปัญหารังแค ลดการเสี่ยงต่อโรคหวัด และยังช่วยป้องกันผิวหนังจากแสงแดดจ้าในฤดูหนาวอีกด้วย
นอกจากการทำความสะอาดผิวให้สะอาด ก็ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่อุดมไปด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ คอลลาเจน หรือสารสกัดจากธรรมชาติ ที่สำคัญอย่าลืมดื่มน้ำให้มากๆ โดยเฉพาะการดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำที่อุณหภูมิห้องเป็นอีกวิธีที่จะช่วยให้ผิวของเราชุ่มชื้นไม่แห้งกร้าน หากปฏิบัติตนตามวิธีข้างต้นนี้ก็สามารถช่วยลดโอกาศการเกิดอาการผิวแห้งได้
--------------------------------------------------
(ที่มา มูลนิธิหมอชาวบ้าน / thaihealth.or.th)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง