"สตช."จับมือเครือข่ายสอดส่องถนนปลอดภัยไร้อุบัติเหตุนำร่อง 10 จังหวัดแก้ 30 จุดเสี่ยง 77 จังหวัด เข้มตรวจวัดแอลกอฮอล์ในเลือดหวังประชาชนตระหนักเมาไม่ขับ
12 เมษายน 2562 ข้อมูลจากศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) ช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2561 พบว่าเกิดอุบัติเหตุรุนแรงที่มีผู้เสียชีวิตหรือเข้ารักษาในโรงพยาบาล 3,724 ครั้ง
ทั้งนี้เพิ่มขึ้น 35 ครั้ง จาก 3,689 ครั้งในปี 2560 และมีผู้เสียชีวิต 418 ราย เพิ่มขึ้น 29 ราย หรือร้อยละ 7.46 จาก 389 รายในปี 2560 ในขณะที่ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรคร่วมกับกรมขนส่งทางบก และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้จัดทำโครงการ ขับขี่ปลอดภัย มั่นใจ ไร้แอลกอฮอล์ เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนและพัฒนากลไกการบังคับใช้กฏหมายให้มีประสิทธิภาพและเสมอภาค โดยกำหนดให้อุบัติเหตุจราจรทุกกรณีที่ทำให้มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตหรือมีทรัพย์สินเสียหาย ต้องตรวจหาระดับแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่ทั้งสองฝ่าย
ตั้งแต่เริ่มโครงการ 17 ธันวาคม 2561 ถึง 31 มีนาคม 2562 ตรวจรวม 1,873 ตัวอย่าง พบผู้บาดเจ็บมีแอลกอฮอล์ในเลือดกว่า ร้อยละ 62 ของผู้บาดเจ็บที่ส่งตรวจทั้งหมดและเกินกว่ากฏหมายกำหนดร้อยละ 58 (กฏหมายกำหนดแอลกอฮอล์ในเลือดไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์) ในกลุ่มนี้ มีแอลกอฮอล์สูงตั้งแต่ 100 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ขึ้นไปมากถึงร้อยละ 90 และมีแอลกอฮอล์ตั้งแต่ 150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ขึ้นไปร้อยละ 41 และจากข้อมูลพบว่า ในผู้ขับขี่ที่ตรวจพบจะมีระดับแอลกอฮอล์เกินกว่ากฏหมายกำหนดถึงร้อยละ 94
พล.ต.ท. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า เนื่องจากสถิติส่วนใหญ่ในช่วง 7 วันอันตรายของเทศกาลสงกรานต์ ระบุว่าสาเหตุการเสียชีวิตมาจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถึงร้อยละ 30 ดังนั้น ในปี 2562 นี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงกวดขันและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดตามมาตรการสร้างความปลอดภัยทางถนน โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกระทรวงสาธารณสุข จะเข้มงวดในการตรวจวัดค่าปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่ทุกกรณีเมื่อเกิดอุบัติเหตุรุนแรง เพื่อลดปัญหาเมาแล้วขับ
“วันที่ 13 เมษายน เป็นวันที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในช่วง 7 วันอันตรายของเทศกาลสงกรานต์ เฉลี่ย 70-80 ราย สาเหตุหลักมาจากการเฉลิมฉลองและดื่มสุรา จึงอยากฝากให้ทุกท่านที่ใช้รถใช้ถนนควรตระหนักในเรื่องความปลอดภัยเป็นพิเศษ ขณะขับขี่ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพราะมีโอกาสสูงที่จะเกิดอุบัติเหตุ ควรใช้เข็มขัดนิรภัยและหมวกนิรภัยทุกครั้ง” พล.ต.ท. ดำรงศักดิ์ กล่าว
พล.ต.ท. ดำรงศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ปีนี้จะเพิ่มมาตรการเข้มข้น มีการตั้งจุดตรวจและหน่วยเคลื่อนที่เร็วมากขึ้น เพื่อให้มาตรการลดอุบัติเหตุเป็นไปอย่างสัมฤทธิ์ผล โดยกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน กรมการขนส่งทางบก สนับสนุนค่าตรวจวัดแอลกอฮอล์ในเลือดทั้งช่วงเทศกาลและช่วงปกติ ตั้งแต่ปลายปี 2561 ถึงปลายปี 2562 ด้วยงบประมาณกว่า 69 ล้านบาท กรณีที่เจ้าหน้าที่พิจารณาแล้วว่าผู้ขับขี่น่าจะมีอาการมึนเมา จะขอตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด แต่หากไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่ตรวจ จะถูกตั้งข้อหาเมาแล้วขับได้
นอกจากนี้ กรณีที่เกิดอุบัติเหตุแล้วมีการเสียชีวิต ตำรวจจะขอตรวจแอลกอฮอล์ในเลือดทั้ง 2 ฝ่าย โดยจะตรวจเลือดภายใน 24 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ เพื่อพิสูจน์ทราบว่าเกิดจากความประมาทของฝ่ายใด ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุจากแอลกอฮอล์ ความเร็ว เมาแล้วขับ ง่วงแล้วขับ ฯลฯ ซึ่งจะมีผลต่อการสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องศาลต่อไป
ทั้งนี้ หากมีค่าแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ และขับรถชนผู้อื่นบาดเจ็บ มีโทษจำคุก 1-5 ปี ปรับ 20,000-100,000 บาท หากชนผู้อื่นสาหัส จำคุก 2-6 ปี ปรับ 40,000-120,000 บาท แต่ถ้าชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 3 ปี ปรับ 60,000-200,000 บาท ส่วนกรณีที่ผู้ขับขี่อายุน้อยกว่า 20 ปี หรือใช้ใบขับขี่ชั่วคราว หากตรวจพบแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ก็ถือว่ามีความผิดทางกฎหมาย
พล.ต.ท. ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า อยากให้ทุกคนตระหนักถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นช่วงเทศกาลหรือไม่ก็ตาม อย่าขับรถเร็ว และถ้าดื่มแล้วอย่าขับรถ เพราะช่วงเทศกาลวันหยุดยาวปริมาณรถสูงมาก ควรสวมหมวกนิรภัยและคาดเข็มขัดนิรภัยขณะขับขี่ ศึกษาเส้นทางก่อนการเดินทาง ซึ่งจะช่วยลดความสูญเสียลงได้
นอกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้มงวดกวดขันในการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ของผู้ขับขี่ เพื่อช่วยลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์แล้ว ยังมีพลังเครือข่ายองค์กรและภาคประชาชน อาทิ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้จับมือกับสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) และภาคีเครือข่าย ร่วมเป็นกำลังในการสอดส่องดูแลให้ถนนปลอดภัยไร้อุบัติเหตุด้วย
โดยเปิดพื้นที่นำร่อง 10 จังหวัด ร่วมแก้ 30 จุดเสี่ยง สร้างถนนปลอดภัย และตั้งเป้าให้ครบ 77 จังหวัดในปีนี้อุบัติเหตุลดลงได้ หากทุกคนร่วมกันตระหนักถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของตนเองและผู้อื่น ด้วยการขับรถอย่างมีน้ำใจ รักษาวินัยกฎจราจร และที่สำคัญคือ เมาไม่ขับ ไม่ขับรถเร็ว คาดเข็มขัดนิรภัย หากขับขี่จักรยานยนต์สวมใส่หมวกนิรภัยทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง