คณะอนุกรรมฝ่ายจัดขบวนพยุหยาตราสถลมารค จัดฝึกซ้อมริ้วขบวนที่ 3 แบบรวมครั้งแรก เพื่อประเมินจุดอ่อน-แข็ง ก่อนซ้อมใหญ่เสมือนจริง
เวลา 08.30 น. วันที่ 19 มี.ค.62 คณะอนุกรรมฝ่ายจัดขบวนพยุหยาตราสถลมารค ได้จัดการฝึกซ้อมริ้วขบวนที่ 3 แบบรวมการครั้งแรก ณ ลาน อเนกประสงค์กองทัพภาคที่ 1 (ภายในกรมทหารราบ ที่ 11 กรมทหารมหาดเล็ก ราชวัลลภรักษาพระองค์) กรุงเทพฯ โดยการฝึกซ้อมในวันนี้มีหน่วยเฉพาะกิจกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ หน่วยเฉพาะกิจทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904 กรมสรรพาวุธทหารบก กรมพลาธิการทหารบก หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ กรมขนส่งทหารบก นักเรียนเตรียมทหาร กองทัพเรือ ตำรวจม้า ผู้แทนจากสำนักพระราชวัง เป็นต้น เข้าร่วมฝึกอย่างพร้อมเพรียง
สำหรับการฝึกซ้อมริ้วขบวนที่ 3 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จในขบวนพยุหยาตราสถลมารคเลียบพระนครในวันที่ 5 พ.ค. 62 เวลา 16.30 น. โดยประมาณ วันนี้มีการจำลองสถานที่จริง เส้นทางเริ่มจากพระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์ปราสาท ผ่านประตูพิมานไชยศรี ประตูวิเศษไชยศรีในพระบรมมหาราชวัง แล้วเลี้ยวขวาที่หน้าประตูวิเศษไชยศรีเข้าถนนหน้าพระลาน เลี้ยวซ้ายแยกศาลหลักเมืองมุ่งหน้าสู่ถนราชดำเนินใน
ต่อจากนั้นเลี้ยวขวาที่หน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์ เข้าสู่ถนนราชดำเนินกลาง เลี้ยวซ้ายเข้าถนนตะนาว เข้าวัดบวรนิเวศวิหาร จากนั้นเสด็จออกจากวัด เข้าถนนพระสุเมรุ เลี้ยวขวาแยกผ่านฟ้าเข้าสู่ถนนราชดำเนินกลาง แล้วเลี้ยวซ้ายที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ เข้าถนนอัษฎางค์ เลียบคลองหลอด สู่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร จากนั้นเสด็จออกจากวัดราชบพิธฯ เข้าสู่แยกวงเวียนนรด. เข้าถนนท้ายวัง เสด็จเข้าสู่วัดพระเชุตพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร จากนั้น เสด็จฯ ออกจากวัดพระเชตุพนฯเข้าสู่ถนนท้ายวัง เลี้ยวขวาที่ถนนมหาราช แล้วเลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนหน้าพระลาน เพื่อเข้าประตูวิเศษไชยศรีตามเดิม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การซ้อมในวันนี้มีการจำลองพื้นที่ ในจุดคับขัน ประกอบด้วย เกยพระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์ปราสาท ประตูพิมานไชยศรี ประตูวิเศษไชยศรี ในพระบรมมหาราชวัง เกยวัดบวรนิเวศวิหาร เกยวัดราชบพิธฯ วัดพระเชตุพนฯ แยกถนนตะนาว ถนนพระสุเมรุ เป็นต้น รวมถึงการฝึกซ้อมจังหวะการเปลี่ยนพลแบกหามพระราชยานพุดตานทอง ซึ่งจะมีการเปลี่ยนทุก 500 เมตร
สำหรับรูปแบบการเดินในริ้วขบวนที่ 3 นั้นมีการกำหนดท่าทางตามเสียงจังหวะกลองด้วยการนับก้าว 85 ก้าวต่อนาที ความกว้างก้าวละ 40 ซม. ประกอบเพลงพระราชนิพนธ์ 6 เพลง ได้แก่มาร์ชธงชัยเฉลิมพล, มาร์ชราชวัลลภ, เพลงใกล้รุ่ง, เพลงยามเย็น, เพลงสรรเสริญเสือป่า และเพลงสรรเสริญพระนารายณ์ โดยใช้ระยะเวลาเดินเท้าตามเส้นทางต่างๆ ทั้งสิ้นประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง อีกทั้งยังมีการสับเปลี่ยนกำลังพลแบกหามทุก 500 เมตร ซึ่งจุดเปลี่ยนพลแบกหามจะใช้หมู่กลองให้จังหวะซอยเท้ารอเพื่อเปลี่ยนกำลังพลแบกหามให้เกิดเป็นท่วงท่าสง่างาม
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ทางคณะอนุกรรมการฝ่ายจัดขบวนพยุหยาตราสถลมารค จะจัดการฝึกซ้อมริ้วขบวนอีกครั้ง ในวันที่ 26 มี.ค. ในริ้วขบวนที่ 1 และ 2 โดยริ้วขบวนที่ 1 เป็นริ้วขบวนเชิญพระสุพรรณบัฏ ดวงพระราชสมภพ และพระราชลัญจกร จากพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ไปยังพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวัง
ขณะที่ริ้วขบวนที่ 2 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินออกจากพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ไปยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อประกาศพระองค์เป็นศาสนูปถัมภก และถวายบังคมพระบรมอัฐิและพระอัฐิ ณ ปราสาทพระเทพบิดร รวมทั้งวันที่ 17 และ 21 เม.ย. จะมีการซ้อมกำลังพลในพื้นที่จริงอีกครั้ง โดยวันที่ 28 เม.ย.จะเป็นการซ้อมใหญ่เสมือนจริง ณ สถานที่จริงก่อนเข้าสู่พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ระหว่างวันที่ 4 - 6 พ.ค.นี้ต่อไป
อนึ่ง ริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศพยุหยาตราสถลมารคเสด็จเลียบพระนครในการราชพิธีบรมราชาภิเษก เริ่มต้นด้วยตำรวจม้านำซ้ายขวา ฝั่งละ 1 นาย, วงดุริยางค์ วงหน้า 120 นาย, ผบ.กองผสม ประกอบด้วยกองบัญชาการขบวนทหารเกียรติยศพยุหยาตราสถลมารค, นายทหารประจำ บก.กองผสม ถัดมาเป็นกองพันทหารเกียรติยศนำ, นำริ้ว สารวัตรกระบวน ประกอบด้วย ประตูหน้าซ้ายขวา, ธงสามชายซ้ายขวา, สารวัตรกลองมะโหระทึก 2 นาย และมะโหระทึกฝั่งละ 10 นาย ต่อด้วยสารวัตรกอง 4 นาย, จ่าปี่ 2 นาย, จ่ากลอง 2 นาย, สารวัตรแตร 2 นาย ฝั่งขวาเป็นกลองชนะแดงลายทอง 40 นาย, กลองทอง 40 นาย, แตรฝรั่ง 10 นาย, แตรงอน 16 นาย และสังข์ 4 นาย ส่วนฝั่งซ้ายเป็นกลองชนะเขียวลายเงิน 40 นาย, กลองเงิน 40 นาย, แตรฝรั่ง 10 นาย, แตรงอน 16 นาย และสังข์ 4 นาย
ถัดมาเป็นตอนผู้อำนวยการกระบวน นำโดย ประธานกรรมการ (นายกรัฐมนตรี) และปธ.คกก.ฝ่ายจัดพิธีการ, ปธ.คกก.ฝ่ายรักษาความปลอดภัยและจราจร, ปธ.คกก.ฝ่ายโครงการและกิจกรรม, ปธ.คกก.ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และปธ.คกก.ฝ่ายกลั่นกลองการใช้งบประมาณ ถัดมาเป็นกำกับกลุ่มอำนวยการริ้วประกอบด้วยผบ.ทบ., ผบ.ทสส., ปลัดกระทรวงกลาโหม, ผบ.ทอ., ผบ.ทร, ผบ.ตร. ต่อมาเป็นกำกับพระแสงหว่างเครื่องหน้า 1 นาย ประกบโดย กำกับเครื่องสูงหน้า ฝั่งละ 1 นาย, เชิญพระแสงหว่างเครื่องหน้า 10 นาย ประกบด้านซ้ายขวาโดยฉัตรเครื่องสูงหักทองขวางหน้า ฝั่งละ 10 นาย ถัดมาเป็นพระเกาวพ่าห์ 2 นาย, พระเสมาธิปัต 2 นาย, พระฉัตรชัย 2 นาย ต่อด้วยกรับสัญญาณ 1 นาย, ผู้บอกกระบวน 1 นาย ตามด้วยพราหมณ์เป่าสังข์ ฝั่งละ 1 นาย, ตำรวจหลวง 16 นาย ต่อด้วย น.เชิญธงชัยพระครุฑพ่าห์ 2 นาย ฝั่งขวาและฝั่งซ้าย, น.เชิญธงชัยราชกระบี่ยุทธ 2 นาย, กำกับพระที่นั่งทรง,ผู้ควบคุมคนแบกหามพระที่นั่งทรง และพระแสงรายตีนตอง ฝั่งละ 1 นาย
ถัดมาเป็นพระที่นั่งพุดตานทอง ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จขึ้นประทับบนพระที่นั่งนี้ โดยมีคนแบกหาม 16 นาย ตามด้วยบังพระสูรย์ 1 นาย, พระกรด 1 นาย, พระทวย 1 นาย, พัดโบก 1 นาย, ถือม้ารองพระที่นั่ง 8 นาย ชุดที่ 1, คนแบกหามสำรอง (ผลัดเปลี่ยน) พระราชยานพุดตานทอง 16 นาย ฝั่งขวาซ้าย ประกอบด้วย คู่เคียงพระที่นั่ง (หน่วยราชการในพระองค์) ฝั่งละ 8 นาย, ผู้อำนวยการริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ, ราชองครักษ์ในพระองค์คู่เคียง (ฝสธ) 8 นาย, กำกับพรหม 1 นาย, พรหมเชิญทวน 1 นาย, น.กำกับแถว, ผบ.แถว, ผบ.มว.แถว, พลแตร และแถวแซงเสด็จ 24 นาย ตามด้วยกำกับพระแสงหว่างเครื่องหลัง1 นาย, เชิญพระแสงหว่างเครื่องหลัง 10 นาย ฝั่งซ้ายและขวาประกอบด้วยฉัตรเครื่องสูงหักทองขวางหลัง 11 นาย, กำกับเครื่องสูงหักทองขวางหลัง ฝั่งละ 1 นาย จากนั้นเป็นมหาดเล็กเชิญพระแสงอัษฎาวุธ 8 นาย, มหาดเล็กเชิญเครื่องตาม 16 นาย, ประตูหลังซ้ายขวา ฝั่งละ 1 นาย, วงดุริยางค์วงหลัง จำนวน 120 นาย, ร.11 รอ., รถยนต์พระที่นั่ง, รถพยาบาล โดยริ้วขบวนที่ 3 มีความยาวทั้งสิ้น 403.5 เมตร
ข่าวที่เกี่ยวข้อง