Lifestyle

มูลนิธิศุภนิมิตฯ ช่วยเหลือเด็กกลุ่มเปราะบาง  ผ่านโครงการ 'อุปการะเด็ก'

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

มูลนิธิศุภนิมิตฯ ช่วยเหลือเด็กกลุ่มเปราะบาง  ผ่านโครงการ 'อุปการะเด็ก' ลงพื้นที่ประสานความร่วมมือหน่วยงานรัฐ อ.สังขะ จ.สุรินทร์เตรียมช่วยเหลือมากกว่าครึ่งแสนรายทั่วประเทศ

 

World Vision Foundation of Thailand หรือ มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย เป็นองค์กรพัฒนาเอกชนร่วมพันธกิจกับองค์กรศุภนิมิตสากล ในการนำความช่วยเหลือไปสู่เด็กและผู้ยากไร้ และได้เข้ามาดำเนินการในประเทศไทยมา 46 ปี จนถึงปัจจุบัน ด้วยการอุปการะเด็กยากไร้เปราะบาง ผ่านโครงการ ‘อุปการะเด็ก’ พัฒนาต่าง ๆ  และขยายงานไปตามจังหวัดต่าง ๆ ครอบคลุมทั่วไทย โดยโครงการอุปการะเด็กมีวัตถุประสงค์ช่วยเหลือเด็ก ๆ ที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ หรือ ฐานะยากจน ซึ่งได้ช่วยเหลือไปแล้วกว่า 42 จังหวัดทั่วประเทศ และยังรวมไปถึงแนวตะเข็บชายแดนของประเทศไทย ผ่านโครงการอื่น ๆ รวม 76 โครงการ  อาทิ โครงการอุปการะเด็ก โครงการอ่านออกเขียนได้ ทันใจ ประทับจิต ชีวิตมีคุณภาพ โครงการมื้อเช้าเพื่อน้องท้องอิ่ม โครงการด้านปกป้องคุ้มครองเด็ก โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน ฯลฯ

 


โดยการดำเนินงานของมูลนิธิศุภนิมิตฯ นำโดย ดร.สราวุธ ราชศรีเมือง ผู้อำนวยการมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย มีพันธกิจหลักโดยการช่วยเหลือเด็กกลุ่มเปราะบางและยากไร้ในประเทศไทย ผ่านการดำเนินการโครงการ “อุปการะเด็ก” กว่า 1.4 ล้านคน ทั่วประเทศ ได้ทำการลงพื้นที่ทำงานในบริเวณแนวตะเข็บชายแดน อ.สังขะ จ.สุรินทร์  ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ประสบปัญหาความยากไร้ ปัญหาด้านโภชนาการ ด้านการศึกษา และพบว่าเป็นพื้นที่ที่มีสถิติสภาพความยากจนของครอบครัวอยู่ในอันดับที่ 4 จาก 16 อำเภอ ของ จ.สุรินทร์ และถือเป็นพื้นที่ที่มีเด็กจบการศึกษาภาคบังคับน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐาน เด็กมีภาวะทุพโภชนาการถึงร้อยละ 40 รวมถึงเด็กมีการถูกกระทำรุนแรงถึงร้อยละ 80 และเด็ก ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ 


ด้วยเหตุนี้ มูลนิธิศุภนิมิตฯ จึงได้ดำเนินการโครงการพัฒนาชุมชนเป็นพื้นที่แบบพึ่งตนเองและยั่งยืน อ.สังขะ จ.สุรินทร์ ขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.2553 เพื่อพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ให้แก่เด็ก ครอบครัว และชุมชนยากไร้ ในพื้นที่แนวตะเข็บชายแดนไทยกัมพูชาแห่งนี้  ปัจจุบันมีเด็กจากครอบครัวยากไร้ที่ผู้อุปการะ และมูลนิธิศุภนิมิตฯ ให้การดูแลในการส่งเสริมพัฒนาการอย่างเหมาะสมตามช่วงวัยทั้งด้านการศึกษา สุขภาพอนามัย ทักษะอาชีพ รวมถึงการสนับสนุนให้ครอบครัวของเด็กมีอาชีพ มีรายได้ สามารถดูแลครอบครัวของตนเองได้อย่างพอเพียงผ่านโครงการ ‘อุปการะเด็ก’ จำนวนกว่า 1,500 คน


ดร.สราวุธ ราชศรีเมือง ผู้อำนวยการมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า “ผลจากการดำเนินงานของมูลนิธิศุภนิมิตฯ ที่ผ่านมา ทำให้เด็กที่อยู่ในโครงการ ‘อุปการะเด็ก’ ได้รับการพัฒนาตามช่วงวัยให้เป็นไปตามเกณฑ์ โดยชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนามากขึ้น มีความสำเร็จจนเป็นที่ยอมรับของหน่วยงานภาครัฐ อาทิ โรงเรียน และคณะกรรมการชุมชนในแต่ละพื้นที่ดำเนินงานในการคัดเลือกเด็ก เพื่อเข้าร่วมโครงการ ‘อุปการะเด็ก’ โดยไม่มีข้อกำหนดด้านเชื้อชาติหรือศาสนา ซึ่งเด็กที่คัดเลือกจะมีอายุระหว่าง 3-13 ปี ที่อยู่ในภาวะยากลำบาก หรือเป็นเด็กที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงมากที่สุด เช่น ยากจนที่สุดในชุมชน ครอบครัวที่ไม่มีที่ดินทำกิน เด็กมีปัญหาทุพโภชนาการ หรือ ขาดสารอาหาร รวมถึงการอุปการะได้รับการศึกษาอย่างมีคุณภาพ นอกจากนี้มูลนิธิศุภนิมิตฯ ยังได้สนับสนุนให้สถานศึกษาต่าง ๆ ในพื้นที่ดำเนินงานโครงการพัฒนาฯ สังขะ จำนวน 17 แห่ง และศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 12 แห่ง เกิดความพร้อมทั้งการพัฒนาศักยภาพการสอนของครู สนับสนุนสื่อการเรียนการสอน รวมถึงปัจจัยจำเป็นที่เกี่ยวกับการศึกษาให้กับเด็กนักเรียน เพื่อให้โรงเรียนเกิดความพร้อมในการบ่มเพาะความรู้แก่เด็ก ๆ ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ปัจจุบันมีเด็กในความอุปการะที่อยู่ในพื้นที่ภาคอีสาน จำนวนกว่า 14,000 คน  มีเด็กในความอุปการะที่อยู่ในพื้นที่ดำเนินงาน อ.สังขะ จ.สุรินทร์ จำนวน 1,500 คน มูลนิธิ


ศุภนิมิตฯ มีแผนในการค้นหาเด็กเปราะบางยากไร้เพื่อเข้าโครงการอุปการะเด็กทั้งประเทศ ในปี 2564 จำนวน  51,000 คน สำหรับในภาคอีสาน จำนวน 15,848 คน ปัจจุบันมูลนิธิศุภนิมิตฯ มีจำนวนเด็กในการอุปการะ กว่า 57,000 คน  สำหรับประเด็นปัญหาที่พบก่อนหน้านี้ในพื้นภาคอีสาน และ จ.สุรินทร์ คือเรื่องภาวะทุพโภชนาการ และการอ่านออกเขียนได้ของเด็ก รวมถึงด้านเศรษฐกิจครัวเรือน ที่ส่งผลกระทบต่อเรื่องของความมั่นคงด้านอาหาร และการกระทำรุนแรงต่อเด็ก ซึ่งมูลนิธิศุภนิมิตฯ จะดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ต่อไป” 


ซึ่งภายใต้โครงการ ‘อุปการะเด็ก’ ยังมีอีกหนึ่งเรื่องราวตัวอย่างการช่วยเหลือดูแล ที่ทางมูลนิธิศุภนิมิตฯ ได้เข้าไปช่วยเหลือ โดยการเป็นหน่วยงานที่จัดสรรเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ให้แก่ ‘เด็กชายวรวุฒิ’ หรือ ‘น้องต่อ’ วัย 11 ปี ที่ประสบปัญหาเรื่องสุขภาพทางสายตา ด้วยอาการป่วยเป็นเยื่อบุตาอักเสบเรื้อรัง โดยมีสาเหตุจากการลงเล่นน้ำในหนองน้ำของหมู่บ้าน จึงทำให้เกิดอาการตาแดง ซึ่งแรกเริ่มได้รักษาอาการเบื้องต้น ด้วยวิธีการซื้อยารักษาและพบแพทย์ประจำอำเภอ แต่อาการก็เริ่มมีความเสี่ยงสูงมากขึ้น เนื่องจากขาดการรักษาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ทางมูลนิธิศุภนิมิตฯ ต้องเข้าไปเยียวยาปัญหาของครอบครัวนี้ และหาทางออกในระยะยาว เพื่อให้เด็กผ่านพ้นจากกับดักความเจ็บปวดด้านสุขภาพทางสายตา


อีกทั้งในบริเวณใกล้เคียง ยังพบเด็กที่เผชิญสภาวะยากลำบากอีกหนึ่งครอบครัว และยังไม่ได้เข้าร่วมโครงการ‘อุปการะเด็ก’ ซึ่งทางมูลนิธิศุภนิมิตฯ ได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัสกับครอบครัวของ ‘เด็กชายตะวัน’ วัย 15 ปี ที่มีปัญหาสถานะบุคคล ที่ไม่ได้รับสิทธิการศึกษาขั้นพื้นฐาน และไม่เข้าเกณฑ์ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานด้านต่าง ๆ ซึ่งที่ผ่านมาเจ้าตัวโชคดีที่ได้รับความเมตตาจาก คุณดวงแข ละม้ายศรี’ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านจารย์ โดยปัจจุบันน้องตะวันกำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งหากสำเร็จการศึกษาแล้ว น้องตะวันจะไม่สามารถเข้าถึงระบบการศึกษาของไทยได้ ถึงแม้ว่า จะได้อยู่ในระบบการศึกษาครั้งนี้มาแล้ว และยังจะไม่สามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขได้อีกด้วย ทั้งนี้ ส่งผลให้ทางโรงเรียนจึงได้เข้ามาประสานงานขอความช่วยเหลือกับทางมูลนิธิศุภนิมิตฯ ในการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้น้องตะวันได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานในการดำเนินชีวิตประจำวันได้ในระยะยาว 


ซึ่งจากผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ทำให้เด็กเปราะบางยากไร้ที่อยู่ในโครงการฯ ได้รับการพัฒนาตามช่วงวัยให้เป็นไปตามเกณฑ์ โดยชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนามากขึ้น ส่งผลให้ประสบความสำเร็จ จนเป็นที่ยอมรับของหน่วยงานชุมชน, ภาครัฐและเอกชน อีกทั้ง ทางมูลนิธิศุภนิมิตฯ ยังสนับสนุนด้านเศรษฐกิจของครัวเรือน เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างยั่งยืน


ขณะเดียวกับ มูลนิธิศุภนิมิตฯ ยังดำเนินการสานต่อความช่วยเหลือเพื่อฟื้นฟู เยียวยา เด็กเปราะบางยากไร้และและครอบครัว ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้วยแผน Covid-19 Recovery Phase ระยะเวลาดำเนินงาน 6 เดือน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงธันวาคม 2563 ใน 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.การสร้างแหล่งอาหารในครัวเรือนที่ยั่งยืน 2.การส่งเสริมและเพิ่มทักษะอาชีพให้เข้มแข็งมากขึ้น 3.ด้านการศึกษาที่ครอบคลุม รวมถึงส่งเสริมการสร้างเครือข่ายอาสาสมัครที่เข้มแข็งที่มีทักษะในการให้ความรู้ ความเข้าใจแก่เด็กและครอบครัวในเรื่องการการศึกษาและสุขอนามัย 


 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ