ข่าว

'ไอติม' ชี้ ส.ว.ที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อคล้อยตามฝ่ายบริหารอันตราย

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

' ไอติม- พริษฐ์ วัชรสินธุ' ส.ว.ที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อคล้อยตามฝ่ายบริหารอันตราย หนุนยกเลิกวุฒิสภาเหลือสภาเดียว -  แนะเปิดกว้างข้อมูล เพิ่มอำนาจ ปชช. ร่วมถ่วงดุลอำนาจ ด้านเครือข่ายนักศึกษาฯ ชี้ ส.ว. ไส้ติ่งที่ไม่เกิดประโยชน์

เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สมาชิกกลุ่มรัฐธรรมนูญก้าวหน้า ซึ่งเข้าร่วมเสวนา "เวทีแสวงหาฉันทามติเพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประเทศไทย" โดยเพจ New Consensus Thailand จัดขึ้นในหัวข้อ "ส.ว.ไทย อย่างไรดี ?"

 โดยนายพริษฐ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า สิ่งที่ตนอยากตั้งเป็นโจทย์ขึ้นมาก่อนอันดับแรก คือเราต้องการเห็นประเทศยึดคุณค่าหลักอะไรบ้าง การออกแบบโครงสร้างประเทศทั้งหมด คุณค่าหลักที่เราอยากให้ประเทศเรายึดมั่นคืออะไร ซึ่งส่วนตัวเห็นว่ามีสามข้อ คือ 1) กติกาที่เป็นกลางในรัฐธรรมนูญ ไม่ควรถูกเขียนขึ้นมาเพื่อให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้เปรียบ 2) ความเป็นประชาธิปไตย และ 3) ความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพในการรับมือกับโลกอนาคต ซึ่งพอมาประเมิน ส.ว.ไทยในปัจจุบัน ประการแรกไม่ผ่านหลักการประชาธิปไตย ตนฟันธงได้เลยว่าการออกแบบโครงสร้างวุฒิสภาขัดหลักสมการประชาธิปไตย สมการแรก ขัดกับหลักการหนึ่งคนหนึ่งเสียงเท่ากัน การให้ ส.ว.โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้ทำให้ไม่สอดคล้องกับหลักนั้น ส.ส.500 คนมาจากประชาชน 38 ล้านคน นั่นหมายความว่าประชาชนหนึ่งคนมีอำนาจในการกำหนดนายกเท่ากัน 0.00017% แต่วุฒิสภา 250 คนถูกแต่งตั้งโดยคณะกรรมการแต่งตั้ง 10 คน เท่ากับว่ากรรมกรหนึ่งคนมีอำนาจในการกำหนดนายก 3.3% นั่นหมายความว่าในกติกาปัจจุบันคณะกรรมการสรรหามีอำนาจเท่ากับประชาชน 2 ล้านคน

              

"สมการที่สอง ขัดกับหลักการว่าอำนาจและที่มาต้องเท่ากัน แต่วุฒิสภาไทยมีความไม่เท่าเทียมกัน ส.ว.มีอำนาจเยอะมาก มีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรีและมีอำนาจหลายๆอย่างอีก ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งองค์กรอิสระ ยับยั้งกฎหมาย ยับยั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรียกว่ามีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากหมดรัฐธรรมนูญปี 2540 มา แต่ด้านที่มาของ ส.ว.กลับมีความถดถอย เราใช้ระบบการแต่งตั้งที่มีปัญหาเยอะมาก เมื่อมาดูองค์ประกอบปัจจุบัน 40% ของ ส.ว.เป็นทหาร-ตำรวจ ยิ่งไปกว่านั้นกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นมาคัดเลือก ส.ว.มี 10 คน 6 คนมาเป็น ส.ว.เอง อีก 3 คนคัดเลือกพี่น้องเข้ามา มีผลประโยชน์ทับซ้อนเข้ามาอีก การแต่งตั้งจึงไม่ได้นำมาสู่การสร้างความหลากหลายหรือป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนเลยแม้แต่น้อย" นายพริษฐ์  กล่าว

นายพริษฐ์กล่าวต่อ ว่าตนเห็นว่าทางออกจากปัญหานี้มี 3 วิธี คือ 1. ลดอำนาจของ ส.ว.ลง แบบ House of Lords ที่อังกฤษ ซึ่งมีอำนาจน้อยมากแม้จะมาจากการแต่งตั้ง ทำได้มากสุดคือยับยั้งกฎหมายได้ 1 ปี แต่ไม่สามารถปัดตกได้เลย ยิ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับงบประมาณแล้ว จะสามารถยับยั้งได้แค่ 1 เดือนเท่านั้น 2. มีอำนาจเยอะแต่เราก็ทำให้มาจากการเลือกตั้ง คล้ายกับสหรัฐอเมริกา แต่มีวิธีการออกแบบให้ไม่ออกมาหน้าตาเหมือน ส.ส. ด้วยความที่สหรัฐอเมริกาเป็นสหพันธรัฐ ก็จะออกแบบว่า 100 วุฒิสภาจะมาจาก 1 คนต่อรัฐ มีการเลือกไม่พร้อมกับ ส.ส. และแบ่งการเลือกเป็นรอบๆไปเพื่อไม่ให้ใครถืออำนาจได้นาน หรือ 3. ไม่ต้องมีเลย

 "แล้วทางเลือกไหนที่เหมาะกับประเทศไทย ถ้าเราอยากหาต้นแบบ เอาเฉพาะประเทศที่เป็นประชาธิปไตยที่เป็นรัฐเดี่ยวแบบประเทศไทย เราจะเหลือ 31 ประเทศ ในที่นี้ 20 ประเทศใช้ระบบสภาเดี่ยว 2 ประเทศใช้สภาคู่ที่มี ส.ว.มาจากเลือกตั้ง อีก 2 ประเทศใช้ระบบ ส.ว.แต่งตั้ง เราจะเห็นว่ากระแสหลักของโลกมาทางสภาเดี่ยวมากขึ้น นี่เป็นกรอบที่เราวางได้ ถ้าเราเห็นว่ารูปแบบวุฒิสภาไทยปัจจุบันไม่ตอบโจทย์ เราจะสามารถมาออกแบบได้ว่าแบบไหนเหมาะสมที่สุด" นายพริษฐ์ กล่าว 

นายพริษฐ์กล่าวต่อว่า สุดท้าย ตนมีเอนเอียงไปทางการมีสภาเดียว ด้วยเหตุผลสามประการ คือ 1.โลกมีการเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น การเปลี่ยนแปลงในทางกฎหมาย ไม่ว่าจะการออกกฎหมายหรือยกเลิกกฎหมายมีความจำเป็นยิ่งขึ้น การมีสภาเดียวจะสามารถลดเวลาพิจาณากฎหมายลง ทำให้รัฐมีความคล่องตัวมากขึ้น  2.งบประมาณที่เราสามารถประหยัดลงได้ และ 3. การมี ส.ว.ต่อไปจะนำไปสู่หลายปัญหาที่แก้ไขค่อนข้างยาก ถ้าแต่งตั้งแต่ให้อำนาจน้อย แล้วเราจะมั่นใจได้ย่างไรว่าเราจะได้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาจริงๆ หรือถ้ามีวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งแต่อำนาจสูง ก็มีปัญหาอีกว่าจะสร้างระบบเลือกตั้งอย่างไรให้ไม่ซ้ำกับ ส.ว.หรือสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก

"เหตุผลสุดท้ายที่ตนคิดว่าสภาเดี่ยวอาจจะเหมาะสมกับโลกปัจจุบัน คือ พอเรามานั่งคิดดูว่าสิ่งที่เราคาดหวังให้ ส.ว. ทำมีอะไรบ้าง จริงๆ มันอาจจะมีกลไกอื่นที่อาจจะทำหน้าที่ตรงนี้ได้ดีกว่า ถ้าเราคาดหวังว่า ส.ว.มีหน้าที่มาให้ความเชี่ยวชาญกับสภาผู้แทนราษฎร ก็สามารถเข้ามาได้ในกรรมาธิการ ถ้าเราบอกว่า ส.ว.มีไว้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของจังหวัดที่ประชากรอาจจะไม่เยอะ ตนก็มองว่าถ้าเราอยากให้อำนาจจังหวัดจัดการตนเอง การกระจายอำนาจน่าจะเป็นทางออกที่น่าดีกว่า ถ้าเราบอกว่าเราอยากมี ส.ว.ไว้เพื่อมาแต่งตั้งกรรมการขององค์กรอิสระ ผมมองว่าหน้าที่นี้อาจจะอยู่ที่สภาผู้แทนราษฎรได้ แล้วเราก็วางกฎเกณฑ์ไว้เพื่อคงไว้ซึ่งความเป็นกลาง เราอาจจะไปถึงขั้นที่ว่ากรรมการองค์กรอิสระทุกคนต้องได้รับเสียงข้างมากจากทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน" นายพริษฐ์ กล่าว 

นายพริษฐ์ กล่าวว่า สุดท้ายถ้าเราบอกว่าอยากมี ส.ว.ไว้เพื่อถ่วงดุลอำนาจฝ่ายบริหาร ตนคิดว่าการเปิดกว้างของข้อมูลงบประมาณ การเปิดกว้างของข้อมูลภาครัฐแล้วติดอาวุธให้ประชาชนสามารถเข้ามาตรวจสอบการทำงานของภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอาจจะเป็นวิธีการที่สอดคล้องกับเทคโนโลยียุคใหม่และโลกรูปแบบใหม่มากกว่า เพราะฉะนั้น

"ผมเลยมองว่าถ้าเรากังวลว่าไม่มี ส.ว.แล้วจะไม่มีการถ่วงดุลอำนาจฝ่ายบริหาร ตนคิดว่าสิ่งเดียวที่อันตรายกว่าสิ่งนั้นคือการที่เรามี ส.ว.ที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อคล้อยตามฝ่ายบริหาร เพราะฉะนั้น ด้วยหลายประการแล้วคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราควรจะพิจารณาเรื่องของสภาเดี่ยว"


 เครือข่ายนักศึกษาฯ ชี้ ส.ว. ไส้ติ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ เชื่อ ส.ส. มีความสามารถเพียงพอโดยไม่ต้องพึ่ง ส.ว.

 ด้าน น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล เครือข่ายนักเรียน นิสิต นักศึกษาเคียงข้างประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (คนป.) กล่าวตอนหนึ่งว่า การมีอยู่ของสมาชิกวุฒิสภาในสังคมสมัยใหม่เป็นเครื่องมือให้อำนาจจากเผด็จการ มากกว่าการขับเคลื่อนเพื่อประชาชน อีกทั้งตนยังเชื่อว่าสามาชิกสภาผู้แทนราษฏรนั้น มีความสามารถเพียงพอโดยการไม่ต้องพึ่งวุฒิสภา เพราะวุฒิสภาเป็นแพลตฟอร์มที่ไม่เกิดประโยชน์ แต่เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้สืบทอดอำนาจ ซึ่งเป็นฟอร์มโบราณ จากคนที่มีแนวคิดแบบโบราณๆ ที่เพียงต้องการยึดอำนาจไว้กับตนเองเท่านั้น นอกจากนี้งานที่วุฒิสภาทำ ผู้บัญชาการเหล่าทัพไม่สามารถทำได้ ดังนั้น เราต้องแยกแยะตำแหน่งให้ชัดเจน และที่สำคัญวุฒิสภาชุดนี้ไม่เคยมีผลงานอะไรนอกจากเลือก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี 

 "วุฒิสภาชุดนี้เหมือนเป็นไส้ติ่งที่ไร้ประโยชน์ นอกจากจะไม่ทำอะไรเพื่อประชาชนแล้ว ยังเป็นภัยต่อประชาธิปไตยอีกด้วย และยังคงนอนกินภาษีของประชาชนปีละหลายๆ ล้านบาทอย่างสบายใจ ไส้ติ่งที่อักเสบและใกล้แตกต้องตัดทิ้งเท่านั้น ไม่อย่างนั้นประเทศจะตาย การเมืองช่วงปี 2521 และ ปี 2534 ช่วงเวลานั้นเกิดรัฐประหารเฉกเช่นเดียวกันปี 2557 ซึ่งทั้ง 3 ครั้งที่เกิดการรัฐประหาร จะมีการสรรหาคัดเลือกบุคคลมาเป็นวุฒิสภา เพื่อกลับมาเลือกนายกรัฐมนตรี นอกจากนั้นทุกครั้งที่เกิดการรัฐประหาร ย่อมมีการฉีกรัฐธรรมนูญ และคนที่ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่หลังการรัฐประหารทั้ง 3 ครั้งนั้น มาจากคนๆเดิม เห็นว่า ควรเอางบประมาณของวุฒิสภากระจายไปให้ท้องถิ่น เพื่อให้ภาคประชาชนมีบทบาทในภาคสังคมได้อย่างเต็มที่ และจะทำให้ประชาชนรู้สึกว่าตนเองนั้นมีค่าและมีส่วนร่วมทางการเมืองของประเทศอย่างแท้จริง ถ้ายังมีวุฒิสภาต่อไปเราสิ้นหวังแน่ๆ การมีอยู่ของวุฒิสภาในปัจจุบัน เป็นเรื่องที่ขัดต่อประชาธิปไตยที่สุดแล้ว ถ้าไม่มีวุฒิสภาเราเชื่อว่าการเติบโตของประเทศนั้น จะเจริญก้าวหน้าแบบก้าวกระโดด และสุดท้ายเราคงต้องให้สังคมตั้งคำถามกันเองว่า การมีอยู่ของวุฒิสภามีประโยชน์จริงๆหรือไม่?"

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ