ข่าว

"สุดารัตน์" แนะเงินกู้โควิด 1.9 ล้านล้าน รัฐบาลต้องใช้เพื่อ 4 เรื่องใหญ่

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"สุดารัตน์" แนะเงินกู้โควิด 1.9 ล้านล้าน รัฐบาลต้องใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการเยียวยาต้องทั่วถึงรวดเร็ว การฟื้นฟูเศรษฐกิจต้องตรงเป้า และที่สำคัญคือ ต้องลงทุนใน "โครงสร้างพื้นฐาน" ให้ธุรกิจไทยสามารถยืนอยู่ได้ในโลกใหม่ที่มี New Normal หลัง COVID-19

         วันที่ 15 พ.ค.2563 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ระบุข้อความผ่าน เฟสบุ๊ค ส่วนตัว “คุณหญิงสุดารัตน์เกยุราพันธุ์ Sudarat Keyuraphan” โดยมีใจความว่า  เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท ต้องถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการเยียวยาต้องทั่วถึงรวดเร็ว การฟื้นฟูเศรษฐกิจต้องตรงเป้า และที่สำคัญคือ ต้องลงทุนใน “โครงสร้างพื้นฐาน” ให้ธุรกิจไทยสามารถยืนอยู่ได้ในโลกใหม่ที่มี New Normal หลัง COVID-19

         แต่เรายังไม่เห็นรัฐบาลไทยมีวิสัยทัศน์ในเรื่องนี้ รวมทั้งไม่มีแผนการใช้เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท มาลงทุนในการเตรียมความพร้อมให้ธุรกิจไทยสามารถเดินต่อได้ และมีศักยภาพในการแข่งขันในโลกหลัง COVID-19 แต่อย่างใดเลย

         ก่อนอื่นดิฉันขอย้ำว่า เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท เป็นการกู้ครั้งมโหฬาร มากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย เป็นเงินกู้ที่คนไทยทุกคนต้องเป็นลูกหนี้ และเป็นผู้ใช้หนี้ไปจนชั่วลูกชั่วหลาน การใช้เงินกู้ก้อนนี้รัฐบาลจึงต้องใช้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและไร้การทุจริต

         1. เพื่อช่วยประชาชนอย่างจริงใจ จริงจัง รวดเร็ว

         2. เพื่อฟื้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ทั่วถึง โดยเฉพาะธุรกิจของคนตัวเล็ก SMEs ไม่ใช่ได้ประโยชน์เฉพาะทุนใหญ่เท่านั้น

         3.เพื่อสร้างสามารถให้ธุรกิจไทยเดินต่อได้ และ มีขีดความสามารถในการแข่งขันได้ในโลกหลัง COVID-19 ที่พฤติกรรมผู้ บริโภค และวิถีธุรกิจ จะเปลี่ยนไป (New normal) ซึ่งรัฐบาลต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำหรับโลกหลังCOVID-19 ให้ธุรกิจให้สามารถอยู่รอดได้ ในโลกใหม่รับ New Normal ได้

         4.ต้องใช้เงินกู้อย่างโปร่งใส ไร้ทุจริต ไม่ใช่ใช้เพื่อทุ่มแจกเงินแบบเพื่อหวังผลทางการเมืองเท่านั้น โดยไม่ก่อให้เกิดการสร้างงาน หรือสร้างรายได้ใหม่ หรือฉวยโอกาสจากวิกฤติที่เกิดขึ้น ให้มีการทุจริต เพื่อการสะสมทุนทางการเมือง

         ถึงวันนี้เงินกู้ 600,000 ล้านบาท เพื่อเยียวยาประชาชนยังคงเป็นปัญหาต่อเนื่องเข้าเดือนที่ 3 แล้ว ทั้งปัญหายังไม่ครอบคลุมคนเดือดร้อนได้ครบถ้วน ทั้งประชาชนและเกษตรกร ที่สำคัญคือวิธีการยุ่งยาก ล่าช้ามาก ทั้งที่ภาครัฐมีทะเบียนคนจน คนตกงาน และทะเบียนเกษตรกรอยู่แล้ว แต่กลับต้องให้ประชาชนต้องไปขึ้นทะเบียนใหม่ ด้วยความลำบาก ทั้งที่เขาได้รับความเดือดร้อนจากมาตรการของรัฐ

          เงินกู้1.9 ล้านล้านบาทที่รัฐบาลนี้กู้ ก็เป็นหนี้ของประชาชน ทำไมการจ่ายเงินคนจน จึงยากลำบากล่าช้ามาร่วม 3 เดือนแล้ว มีหัวใจให้คนจนบ้างเถอะค่ะ

          นอกจากนั้นผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ซึ่งเป็นเงินออมของเขาเองก็จ่ายยากเย็น ล่าช้าซึ่งกรรมาธิการกิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน ที่สส. จิรายุ ห่วงทรัพย์ เป็นประธานกรรมาธิการ กำลังตรวจสอบว่า มีการเอาเงินออมของประชาชนไปใช้ไม่ถูกทางหรือไม่ จึงไม่มีเงินจ่ายให้ผู้ประกันตน

          อีกส่วนของเงินกู้ 600,000 ล้านบาท คือส่วนที่นำไปใช้ด้านสาธารณสุข ดิฉันไม่เห็นการนำเงินกู้นี้ไปใช้เป็นรูปธรรม ในการวาง “โครงสร้างด้านสาธารณสุข” เพื่อเสริมศักยภาพด้านสาธารณสุขของเราให้แข็งแกร่งมากขึ้น

          ทั้งที่เรามาถึงวันนี้ได้ ที่มีผู้ติดเชื้อลดลง ก็เพราะระบบสาธารณสุขของไทยที่แข็งแกร่งมาช้านาน รวมทั้งความทุ่มเท ความเสียสละ และความสามารถของคณะแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข อสม.

          และเกิดจากความร่วมแรงร่วมใจของประชาชนที่ยอมเสียสละอยู่บ้าน ดูแลป้องกันการระบาดอย่างเคร่งครัด สวมหน้ากากอนามัย ดูแลสุขอนามัย เว้นระยะห่าง ตามที่สาธารณสุขแนะนำอย่างเคร่งครัด

          ดิฉันเห็นความจำเป็นที่เราควรใช้เงินกู้จำนวนนี้ ไปใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพ “โครงสร้างด้านสาธารณสุข” ของไทยเพื่อประโยชน์ทั้งในเชิงรับและรุก เป็นเรื่องที่สำคัญมาก

          เป็นการเตรียมความพร้อม หากมีการกลับมาระบาดใหม่ ของ COVID-19 หรือในอนาคตอาจมีการระบาดของโรคอุบัติใหม่ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 20 ปีหลังนี้ เราจะได้มีความพร้อมในการดูแลสุขภาพของประชาชน

 

           นอกจากนั้น ในเชิงรุกการลงทุนใน “โครงสร้างด้านสาธารณสุข” จะช่วยเศรษฐกิจไทยได้โดยตรง เพราะโลกหลัง COVID-19 คนทั่วโลกจะคำนึงถึงสุขอนามัยและสุขภาพ (Hyginity & Health) มากขึ้น

           การลงทุนให้คนไทย และคนทั่วโลกมั่นใจในระบบสาธารณสุขไทย ผลดีจะตกกับ เศรษฐกิจไทย ทั้งด้านการท่องเที่ยว การบริการ การส่งออกโดยเฉพาะด้านอาหาร รวมทั้งเกษตรกรของไทย ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างให้ธุรกิจไทยเดินต่อไปได้ และมีศักยภาพในการแข่งขันในโลกหลัง COVID-19

           แต่ดิฉันไม่เห็นวิสัยทัศน์ หรือแผนงานการลงทุนด้าน “โครงสร้างด้านสาธารณสุข” จากรัฐบาลในขณะนี้เลย ว่าจะทำอย่างไรให้ธุรกิจไทย ยังเดินไปต่อได้ในโลกหลัง COVID-19 ที่ต้องมี New normal ใหม่

            ถ้านายกรัฐมนตรีและทีมเศรษฐกิจยังมองเรื่องนี้ไม่ออก ความหวังที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยหลัง COVID-19 ก็จะดูยากมากค่ะ

 

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ