ข่าว

นายกฯ บินโคราชมอบเงินเยียวยา ฮาลั่น ชวน ครม.อยู่บ้านพิษณุโลก

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"บิ๊กตู่" บินโคราชมอบเงินเยียวยาให้ครอบครัวเหยื่อเสียชีวิต - บาดเจ็บจากเหตุกราดยิง แจงระบบ รปภ.ผู้นำจำเป็นต้องอยู่บ้านหลวง

 

              ความคืบหน้าการเยียวยาช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากเหตุความรุนแรงที่ จ.นครราชสีมา ล่าสุด เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563  นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า

อ่านข่าว-สาธุ ! "อย่าให้เกิดเหตุแบบนี้อีก"นายกฯขอพรย่าโม

 

 

 

              ทางจังหวัดได้ปิดรับบริจาคทุกรูปแบบโดยมียอดเงินบริจาคทั้งสิ้น 82,869,229.20 บาท จ่ายเงินเยียวยาให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบไปแล้ว 29,200,000 บาท เหลือเงินอยู่ในบัญชี 53,669,229,20 บาท ซึ่งมติเมื่อวานนี้ (17 กุมภาพันธ์) อนุมัติให้จ่ายเงินเยียวยาเพิ่มอีก คือกรณีผู้เสียชีวิต 27 ราย จะจ่ายให้รายละ 2 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้จ่ายไปแล้วรายละ 1 ล้านบาท ส่วนกรณีพิการถาวร 4 ราย จ่ายให้รายละ 2 ล้านบาทเช่นกัน สำหรับผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส 17 ราย จะจ่ายให้รายละ 2 แสนบาท และผู้ได้รับบาดเจ็บปานกลาง 12 ราย จะจ่ายให้รายละ 1 แสนบาท และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจะจ่ายให้รายละ 2 หมื่นบาท โดยทั้งหมดจะทำพิธีมอบเงินให้ในวันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์นี้ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม จะเดินทางมาเป็นประธาน

 

 

 

              ทั้งนี้ มีเงินที่จะต้องจ่ายในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ จำนวน 31,880,000 บาท หลังจากนั้นจะมีเงินที่กันไว้จ่าย 6 ล้านบาท และเงินคงเหลือในบัญชี 15,789,229.20 บาท เพื่อรอการพิจารณาช่วยเหลือเยียวยาในรอบที่ 3 ต่อไป ขณะที่ปัจจุบันนี้มีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลทั้งหมด 23 คน โดยรักษาอยู่ที่ รพ.มหาราชนครราชสีมา 17 คน , รพ.ค่ายสุรนารี 4 คน และ รพ.กรุงเทพ-ราชสีมา 2 คน

              มีรายงานกำหนดการเดินทางของนายกฯ เช้าวันที่ 19 กุมภาพันธ์ เดินทางด้วยเครื่องบินและจะเข้าสักการะอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) จากนั้นมอบเงินช่วยเหลือเยียวยาในส่วนของรัฐบาลให้แก่ผู้ได้รับบาดเจ็บและครอบครัวผู้เสียชีวิตที่หอประชุมเปรมติณสูลานนท์ ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา ต่อมานายกฯ จะไปเยี่ยมเยียนผู้ประกอบการร้านค้า และประชาชน ที่ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 โคราช ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ

 

 

 

              มีรายงานแจ้งว่าในที่ประชุม ครม. วันนี้ (18 กุมภาพันธ์) พล.อ.ประยุทธ์ พูดถึงกรณีที่โซเชียลมีเดียตั้งคำถามว่าเหตุใดนายกฯ จึงไม่ไปอยู่บ้านพิษณุโลกซึ่งเป็นบ้านพักรับรองตำแหน่งนายกฯ แต่กลับยังอยู่ในหน่วยทหาร โดยนายกฯ กล่าวขึ้นว่า เขาจะให้ไปอยู่บ้านพิษณุโลก มีใครจะไปอยู่กับตนไหม บ้านหลังใหญ่น่าจะอยู่กันได้หลายคน ทำให้ที่ประชุมมีเสียงหัวเราะขึ้น

              ทั้งนี้ หลังจากการประชุม ครม. พล.อ.ประยุทธ์ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุผลที่ยังอาศัยอยู่ในหน่วยทหารว่า ทำงานรับใช้ชาติมาตลอดชีวิต กฎระเบียบจะว่าอย่างไรก็ตาม วันนี้ก็ยังทำงานอยู่

              “ปัญหาของผมก็คือ ผมเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วมันก็มีปัญหาเรื่อง รปภ. ฉะนั้นก็ต้องมีมาตรการ รปภ. ที่เหมาะสมในฐานะผู้นำประเทศ และอื่นๆ ด้วยหลายอย่าง ผมก็เตรียมการหลายอย่าง เตรียมไปอยู่บ้านของผมอยู่แล้ว” นายกฯ กล่าว

 

 

 

              ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีฝ่ายค้านอาจจะนำเรื่องบ้านพักสวัสดิการทหารไปอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า ในส่วนของมูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ทำถูกต้อง มีการเช่าที่จากกระทรวงการคลังตั้งแต่เกษียณ และตนก็ไปพักที่บ้านพักส่วนตัวตั้งแต่เกษียณ ส่วนนายพลคนอื่นที่เกษียณนั้นต้องไปถาม ผบ.ทบ. เพราะเป็นผู้ดำเนินการตามกฎหมาย

              ส่วน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการพักอาศัยในบ้านพักหลวงว่า ไม่ว่าจะมีกฎระเบียบออกมาอย่างไรต้องปฏิบัติตาม ตนเตรียมบ้านไว้แล้ว และเดิมทีก็ไม่ค่อยได้อยู่บ้านพักสวัสดิการแต่ตอนทำงานเดินทางไม่ไหวเพราะไกล แต่ก็พร้อมปฏิบัติ เมื่อถามว่ากฎระเบียบที่ว่านี้ต้องเขียนให้ชัดเจนขึ้นมาหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ของเดิมมีอยู่แล้วว่าจะอนุโลมว่าจะให้อยู่นานเท่าใด เป็นระเบียบภายใน และจากการเป็นผู้บังคับบัญชามา บางคนเกษียณแล้วยังไม่มีบ้านของตัวเองก็อนุโลมจนหาที่อยู่ได้ บางทีเกิน 6 เดือนแต่ที่ให้ได้เพราะบ้านพักว่างก็ให้เขาอยู่ดูแล แต่ถ้าบ้านพักเต็มก็ต้องออก

 

 

 

              พล.อ.อนุพงษ์ ยังกล่าวกรณีสังคมเป็นห่วงผู้ครอบครองปืนสวัสดิการจากหน่วยงานต่างๆ จะนำปืนเหล่านั้นไปก่อเหตุว่า ตามหลักการถ้ากฎหมายให้ครอบครองก็มีได้ ถ้ากฎหมายให้มีไม่ได้ก็มีความผิดทั้งคนให้และผู้ครอบครอง และถือเป็นสิ่งดีหากผู้ซื้อปืนสวัสดิการแล้วไม่ขายต่อก็ถือว่ามีเจตนาดี แต่ที่เขากังวลคือบางคนมีปืนสวัสดิการเป็นสิบกระบอก แล้ววันหนึ่งไม่มีสักกระบอกเป็นเรื่องน่ากลัว เพราะหากนำไปขายแล้วปืนเหล่านั้นจะไปอยู่ที่ไหน แต่ถ้าตกไปเป็นของมรดกก็ไม่เป็นไร เพราะถือว่าตรงตามเจตนารมณ์ของปืนสวัสดิการ ถึงอย่างไรก็ต้องไปดูตามกฎหมาย ซึ่งเรื่องนี้ก็น่าจะไปเก็บสถิติดู แต่ส่วนตัวมองว่าไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าใครครอบครองปืนเท่าไร แต่อยู่ที่ความประพฤติมากกว่า ซึ่งต้องไปดูว่าผู้ที่ก่อเหตุต่างๆ มีปืนสวัสดิการกี่กระบอก

              ที่ กองบัญชาการกองทัพเรือ มีการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ โดย พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. เปิดเผยว่า ได้เซ็นคำสั่งปรับย้ายนายทหารระดับพันเอก และเซ็นย้ายจริงไม่ได้พูดเล่น เพราะเซ็นต่อหน้าศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ใครทำอะไรไว้ต้องได้รับผล และศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นเรื่องเกี่ยวข้องในหลายส่วนที่กำลังพลร้องเรียนมา โดยเฉพาะในส่วนของพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 หลังเกิดเหตุรุนแรง

 

 

 

              เมื่อถามว่า พล.ท.ธัญญา เกียรติสาร แม่ทัพภาคที่ 2 ถูกปรับย้ายด้วยหรือไม่ พล.อ.อภิรัชต์ กล่าวว่า ต้องให้ความเป็นธรรมเป็นกรณีไป ไม่ใช่เลือดเข้าตาก็จะสั่งย้ายหมด ซึ่งเจ้าหน้าที่ทุกคนก็มีความตื่นตัวในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เมื่อถามว่า การตั้งศูนย์ร้องเรียนสายตรง ผบ.ทบ.จะดำเนินการอย่างไร พล.อ.อภิรัชต์ กล่าวว่า เราให้เอาท์ซอร์สดำเนินการเป็นเอกชนทั้งหมดเพื่อไม่ให้ความลับรั่วไหล ส่วนการพิจารณาว่าข้อร้องเรียนไหนเป็นเรื่องจริงหรือใส่ร้าย ตนในฐานะผู้บังคับบัญชาฟังดูก็รู้แล้วว่าอะไรเท็จอะไรจริง 

              ด้าน พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผท.ทสส.) ให้สัมภาษณ์ว่า ผู้บัญชาการเหล่าทัพได้หารือกันมาอย่างต่อเนื่องและวันนี้มีการพูดคุยในที่ประชุมเพื่อหารือในประเด็นที่จะตกลงใจในหลายเรื่องไม่ใช่เฉพาะเรื่องสวัสดิการทหาร ซึ่งมองว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร โดยสวัสดิการทหารทั้งหมดเหล่าทัพดำเนินการตามระเบียบ ยืนยันว่าเราไม่ได้ปฏิบัตินอกกรอบหรือไม่มีหลักเกณฑ์ เพียงแต่เป็นที่สนใจว่ามีบางกิจการที่ก่อให้เกิดรายได้ ซึ่งที่ผ่านมาทุกเหล่าทัพได้นำเงินค่าเช่าหรือเงินรายได้เข้าเป็นเงินรายได้แผ่นดินเป็นปกติอยู่แล้ว นอกจากนี้มีกิจการเล็กๆ น้อยๆ เช่น ร้านค้าในหน่วยที่ผู้ใช้บริการเป็นกำลังพลก็อยู่ในข่ายการจัดสวัสดิการภายในหน่วยราชการ แต่กิจการที่มีเอกชนหรือบุคคลภายนอกมาใช้ประโยชน์สัดส่วนสูงก็เข้าข่ายสวัสดิการเชิงธุรกิจ

 

 

 

              “เหล่าทัพยินดีที่จะปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังและกรมธนารักษ์ โดยเหล่าทัพจะติดต่อโดยตรงกับกรมธนารักษ์เมื่อมีกิจการใดที่ก่อให้เกิดรายได้เพื่อขออนุญาตนำส่งและขอให้กรมธนารักษ์กำหนดหลักเกณฑ์ว่าต้องส่งเท่าไร ทั้งนี้กรณีที่กองทัพบกทำเอ็มโอยูเนื่องจากกองทัพบกมีกิจการสวัสดิการจำนวนมาก ในขณะที่เหล่าทัพอื่นไม่จำเป็นต้องทำเอ็มโอยูเพราะได้ติดต่อโดยตรงกับกรมธนารักษ์อยู่แล้วเพียงแต่จะทบทวนให้ครบถ้วนว่ามีรายการตกหล่นหรือไม่” ผบ.ทสส.กล่าว

              ขณะที่ นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี ผบ.เหล่าทัพ หารือเพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติในเรื่องทหารเกษียณให้ออกจากบ้านพักหลวง และธุรกิจเชิงพาณิชย์ในกองทัพว่า กองทัพคือภาพสะท้อนปัญหาความเหลื่อมล้ำ ปัญหาการเลือกปฏิบัติ การบังคับใช้กฎหมายที่แตกต่างสองมาตรฐานมาตั้งแต่ไหนแต่ไร กองทัพไม่ควรเป็นองค์กรแสวงหาผลกำไรด้านพาณิชย์และผลประโยชน์จากธุรกิจของกองทัพทั้งหมดต้องนำส่งผู้บังคับบัญชาระดับใดบ้าง นำส่งครบถ้วนถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ กองทัพไม่ควรเป็นแดนสนธยาหรือแหล่งแสวงหาผลประโยชน์ทุกกรณี สำหรับทหารเกษียณแล้วอยู่ต่อไม่คืนบ้านพักหลวงเป็นเพียงปรากฏการณ์ของยอดภูเขาน้ำแข็ง ซึ่งกองทัพต้องชี้แจงอธิบายตรวจสอบได้ทุกอย่าง อย่าทำให้องค์กรทหารดำรงอยู่บนความสงสัยของประชาชน

 

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ